อย่างที่รู้กันดีว่าบรรดานักกีฬาระดับโลกหลายต่อหลายคนต่างซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อแลกกับการเดินทางที่สะดวกสบาย ซึ่งมันก็ถือว่าคุ้มค่ากับการที่เจ้าตัวสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ในช่วงที่สายการบินปกติทั่วไปหยุดให้บริการ
ซึ่งแน่นอน “เดอะมันนี่” ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ อดีตกำปั้นแชมป์โลก 5 รุ่น ชาวสหรัฐฯ ก็เป็นหนึ่งในบรรดานักกีฬาที่มีเครื่องบินส่วนตัวในครอบครอง แถมมันยังถือเป็นนกเหล็กส่วนตัวที่มีมูลค่ามากที่สุดในเหล่าบรรดาแวดวงคนกีฬาเสียด้วย
โดย นักมวยเจ้าของสถิติชนะรวด 50 ไฟต์ ทุ่มเงินจำนวนสูงถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,560 ล้านบาท) เพื่อแลกกับ เครื่องบินเจ็ตรุ่น Gulfstream G650 ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 18 คนต่อการเดินทาง 1 ครั้ง พร้อมทั้งมีความเร็วในระดับ 610 ไมล์ต่อชั่วโมง และการมีเครื่องแบบทวิน ทำให้เดินทางได้ไกลก่า 7,000 ไมล์ทะเล
อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็น “เดอะมันนี่” ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เวอร์วังอลังการมากๆ เจ้าตัวได้ทำการดัดแปลงภายในใหม่หมดให้สวยกว่าเดิม รวมถึงการติดตั้งเบาะหนังที่หรูหรา และเตียงนอนให้เขาได้พักผ่อนอย่างสบาย นอกจากนี้ยังตั้งชื่อให้กับมันว่า “Air Mayweather”
นอกจากนี้บนเครื่องบินยังมีระบบความบันเทิงในตัวแบบครบครันเพื่อไม่ให้มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อระหว่างการเดินทาง รวมถึงมีการจ้างหมอนวดให้เดินทางไปด้วยตลอดเพื่อคอยนวดให้ผ่อนคลาย ภายในห้องโดยสารจะมีการสูบอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในตัวเครื่องทุกๆ สองนาที ซึ่งแตกต่างจากเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ที่แสนจะอบอ้าว
พิเศษยิ่งกว่านั้นเมื่อมันมีทั้งห้องครัวที่มี เตาไมโครเวฟ, ตู้เย็น และห้องอาบน้ำในตัว รวมทั้งมีโทรศัพท์ระบบดาวเทียมซึ่งเป็นสิ่งที่หายาก แม้กระทั่งสำหรับเครื่องบินส่วนตัวที่หรูหราในกรณีที่เขาต้องการโทรออกในขณะที่อยู่เหนือพื้นดินหลายพันฟุต
ซึ่ง เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวลำนี้ที่มีชื่อว่า “Air Mayweather” เคยเดินทางมาจอดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของประเทศไทยมาแล้ว เมื่อกลางปี 2562 โดยครั้งนั้น กำปั้นวัย 44 ปี เดินทางมาทัวร์เอเชียเพื่อคุยธุรกิจเปิดตลาด TMT (เดอะมันนี่ทีม) แบรนด์สินค้าของตัวเองในทวีปเอเชีย
สำหรับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ถือเป็นนักกีฬาที่ทำเงินได้มากที่สุดแห่งทศวรรษ 2010 (นับเฉพาะในช่วงระหว่างปี 2010-2019) จากการจัดอันดับของ ฟอร์บส์ (Forbes) นิตยสารทางการเงินชื่อดังของสหรัฐอเมริกา โดยโกยรายได้ไปมากถึง 915 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 28,400 ล้านบาท) เลยทีเดียว