คนรักษ์ป่าชายเลน เฮ!! ป่าชายเลนไทยดูดกลับคาร์บอนกว่าปีละ 9.4 ตันต่อไร่
จากการที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันสารเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงปารีส ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อควบคุมการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และมุ่งพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และมีเป้าหมายที่จะลดก๊าซเรือนกระจกลง ร้อยละ 20 – 25 ภายในปี พ.ศ. 2573 ส่งผลให้ทุกภาคส่วนเล็งเห็นความสำคัญในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ซึ่งการลดก๊าซเรือนกระจกที่ดีรูปแบบหนึ่ง คือ การปลูกป่าชายเลนเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อันเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก
นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เร่งขับเคลื่อนการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกสุทธิภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน จำนวนทั้งสิ้น 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี ค.ศ. 2580 โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่ การปลูกและฟื้นฟูป่าธรรมชาติ การปลูกป่าเศรษฐกิจ การเพิ่มพื้นที่พื้นที่สีเขียว และการป้องกันการบุกรุกป่าและเผาป่า และได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกตามภารกิจหน้าที่ของหน่วยงาน
พร้อมมอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส. สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวง ทส. เร่งดำเนินการกำหนดแนวทางการจัดการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ
โดยนายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า ทช. ตั้งเป้าฟื้นฟูป่าชายเลน 3 แสนไร่ ใน 23 จังหวัด ภายใน 10 ปี (ปี 2565-2574) อีกทั้งผลักดันให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาด้วยการเร่งฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมและส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก โดยที่ได้รับประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต
นายอภิชัย กล่าวว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลทรัพยากรป่าชายเลนได้มีการออกระเบียบ อาทิ การปลูกและบำรุงป่าชายเลนสำหรับองค์กรหรือบุคคลภายนอก พ.ศ. 2565 พื้นที่เป้าหมายที่ให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการขอรับพื้นที่ป่าชายเลนไปปลูกป่าเพื่อลดคาร์บอนเครดิต เพื่อรับมือกับมาตรการการค้ารูปแบบใหม่ ที่มีผลต่อการส่งอออกและเวทีการค้าระหว่างประเทศ พร้อมกันนี้ได้จัดทำคู่มือการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต และขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการปลูกป่าชายเลนกับ กรม ทช. เพื่อให้การดำเนินงานปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต เกิดประสิทธิภาพ สัมฤทธิ์ผลทุกมิติ และบรรลุเป้าหมายของทุกฝ่าย เปิดโอกาส สนับสนุนเอกชนและภาคประชาชนในการร่วมกันสร้างป่าชายเลนได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลดงบประมาณของรัฐในการฟื้นฟูป่าชายเลนอีกด้วย โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ในการจัดเก็บข้อมูลการประเมินคาร์บอนเครดิตสำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเดิมค่าคาดการณ์การกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของป่าชายเลนเท่ากับ 2.75 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ต่อปี จึงได้มีการศึกษาการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของไม้สกุลโกงกาง (Rhizophara spp.) ในพื้นที่แปลงปลูกป่าชายเลนของประเทศไทย ดำเนินการโดยคณะทำงานเพื่อศึกษาศักยภาพการเก็บคาร์บอนของป่าชายเลน ซึ่งคณะทำงานเป็นบุคลากรจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และได้รับเกียรติจาก ศ.ดร. สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานสมาคมป่าชายเลนนานาชาติ (ISME) ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเพื่อปรับปรุง เพื่อใช้ข้อมูลอ้างอิงการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในป่าชายเลนของประเทศไทย
โดยมีการเก็บข้อมูลในพื้นที่ 4 โซน แบ่งออกเป็น โซนตะวันออก โซนอ่าวไทย ตัว ก โซนอ่าวไทย และโซนอันดามัน ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี เพชรบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง สตูล กระบี่ และพังงา จำนวน 116 แปลง ใน 16 ชั้นอายุ (แปลงปลูกป่าชายเลนที่อายุ 7, 8, 9, 10, 12, 13, 14, 15, 16, 18, 19, 21, 27, 28, 29 และ 30 ปี) โดยผลการศึกษาการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของไม้สกุลโกงกาง (Rhizophara spp.) ในพื้นที่แปลงปลูกป่าชายเลนของประเทศไทย พบว่าป่าชายเลนสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิ 9.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ต่อปี และในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก ครั้งที่ 2/2566 ซึ่งมี นายวิจารย์ สิมาฉายา เป็นประธาน มีมติรับทราบค่าศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลน และให้นำค่าเฉลี่ยศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนเท่ากับ 9.40 tCO2eq/ไร่-ปี ไปใช้ในการคาดการณ์สำหรับโครงการ T-VER ของกิจกรรมการปลูกป่าชายเลน
อย่างไรก็ตาม โครงการปลูกป่าเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต คาดว่าจะสร้างประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งเพิ่มพื้นที่ป่า เพิ่มความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ และลดการตั้งกำแพงภาษีจากสหภาพยุโรป ตลอดจนสร้างรายได้รวมถึงประโยชน์ต่อชุมชนและประชาชน ให้สามารถประกอบอาชีพตามวิถีชุมชนในเขตป่าชายเลนได้ตามปกติทุกประการ ในส่วนขององค์กรภาคธรุกิจก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด มีสิทธิเพียงการคิดคำนวณคาร์บอนเครดิตเท่านั้น และจะต้องดูแลป่าที่ปลูกขึ้นใหม่ต่อเนื่องไปไม่น้อยกว่า 10 ปี “นายอภิชัย กล่าวทิ้งท้าย