สถาบันมะเร็งฯ เปิดตัวเครื่องจำลองรักษาด้วย MRI เครื่องแรก ช่วยแยกความแตกต่างเนื้อเยื่อ กำหนดรอยโรคชัดเจน วางแผนรักษามะเร็ง เนื้องอกได้แม่นยำ ทั้งฉายรังสี ใส่แร่ ลดผลข้างเคียง
15 พ.ย. 65 – นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ให้ความสำคัญกับการรักษาโรคมะเร็ง จึงให้สถาบันมะเร็งแห่งชาติจัดหาเครื่องจำลองการรักษาด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) มาช่วยในขั้นตอนจำลองการรักษา
เพื่อรองรับการให้การรักษาด้วยรังสี ไม่ว่าจะเป็นการใส่แร่แบบสามมิติ หรือเทคนิคการฉายรังสีขั้นสูงแบบปรับความเข้ม ไปจนถึงเทคนิคการฉายรังสีศัลยกรรมได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากเมื่อจำลองการรักษาโดย MRI ร่วมกับภาพจากเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT)
จะช่วยให้แพทย์แยกแยะความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ได้ดี ทำให้มองเห็นความผิดปกติได้อย่างชัดเจนและละเอียดยิ่งขึ้น และกำหนดพื้นที่รังสีสูงให้กับก้อนมะเร็งได้แม่นยำ เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรค จำกัดปริมาณรังสีของอวัยวะสำคัญข้างเคียง เพื่อลดผลข้างเคียงจากการรักษา
นพ.สกานต์ บุนนาค ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันมะเร็งฯ ได้เปิดตัวเครื่องจำลองการรักษาด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาด 1.5 เทสลา (MRI Simulator) เครื่องแรก ซึ่งสามารถจำลองการรักษาได้ทุกส่วนของร่างกาย
โดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับคลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) มาใช้สร้างภาพได้ทั้งแบบ Axial, Coronal, Sagittal และแบบสามมิติในรูปแบบต่างๆ เป็นเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีโปรแกรมการตรวจรักษาที่ครอบคลุมการใช้งาน ตั้งแต่บริเวณสมอง ศีรษะ ลำคอ ลำตัว ช่องท้อง อุ้งเชิงกราน กล้ามเนื้อและกระดูก ไปจนตรวจแบบ Whole body scan ได้
ซึ่งปัจจุบันภาพสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (MRI) มีบทบาทมากขึ้นในการนำมาใช้จำลองการรักษาของการฉายรังสีแบบภายนอก นำมาช่วยกำหนดขอบเขตของก้อนมะเร็งและช่วยแยกอวัยวะสำคัญใกล้เคียงได้อย่างชัดเจน
เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและลดผลข้างเคียงจากการฉายรังสี ใช้ในโรคมะเร็งและเนื้องอกแทบจะทุกส่วน เช่น มะเร็งหรือเนื้องอกที่สมอง มะเร็งในศีรษะและลำคอ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก
“ส่วนของการใส่แร่ ภาพสะท้อน MRI ช่วยให้แพทย์ประเมินระยะของโรคได้แน่ชัด ตั้งแต่ก่อนการใส่แร่ ทำให้กำหนดขอบเขตของก้อนมะเร็งมีความแม่นยำมากขึ้น ช่วยตัดสินใจเลือกเทคนิคการใส่แร่และอุปกรณ์ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ใช้ในการติดตามการตอบสนองในระหว่างการรักษา ทำให้กำหนดปริมาณรังสีสูงได้ครอบคลุมก้อนมะเร็งมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันสามารถจำกัดปริมาณรังสีไปยังอวัยวะข้างเคียงโดยรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นพ.สกานต์กล่าว