หลงมนต์ “โทคุชิมะ” เมืองแห่งวัฒนธรรมโบราณ งานศิลป์ และวัตถุดิบรสเลิศของญี่ปุ่น

Home » หลงมนต์ “โทคุชิมะ” เมืองแห่งวัฒนธรรมโบราณ งานศิลป์ และวัตถุดิบรสเลิศของญี่ปุ่น
หลงมนต์ “โทคุชิมะ” เมืองแห่งวัฒนธรรมโบราณ งานศิลป์ และวัตถุดิบรสเลิศของญี่ปุ่น

โทคุชิมะ จังหวัดหนึ่งในเกาะชิโกกุ ประเทศญี่ปุ่น ชื่ออาจไม่คุ้นหู ไม่อยู่ในอันดับแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยนึกถึงเป็นที่แรก แต่สำหรับนักเดินทางที่มองหาความสงบ แนบชิดธรรมชาติไปพร้อมกับได้ซึมลึกถึงศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารชั้นเลิศ “จังหวัดโทคุชิมะ” คือดินแดนที่มอบสิ่งเหล่านี้ให้คุณได้ทั้งหมด!

หลังการเดินทางตลอด 4 คืน 5 วัน ในโทคุชิมะ เราพบกับสถานที่หลากหลายซึ่งล้วนแต่น่าสนใจและมีเสน่ห์ที่แตกต่าง จึงอาสาพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับเมืองเล็ก ๆ ที่อาจร่ายมนต์จนพาให้คุณตกหลุมรักไม่รู้ตัว

โทคุชิมะ
รู้จัก โทคุชิมะ

โทคุชิมะ ตั้งอยู่ในเกาะชิโกกุ 1 ใน 4 ภูมิภาคของญี่ปุ่น โอบล้อมด้วยทะเลและภูเขา ครบครันทั้งแหล่งเกษตรกรรม ปศุสัตว์และประมง หากคุณชอบรับประทาน สาหร่ายวากาเมะ (Wakame) ที่นี่คือแหล่งผลผลิตที่สำคัญ นารูโตะวากาเมะ เป็นของขึ้นชื่อ โดยเฉพาะมาสคอตประจำเมืองที่เป็นเจ้าหัวเขียวคล้ายน้องมะนาวแต่เป็นพืชตระกูลส้ม นั่นคือ สุดะจิ (Sudachi) รสชาติเปรี้ยวแต่กลิ่นหอม แถมวิตามินสูงกว่าเลมอน สุดาจิที่ชาวญี่ปุ่นใช้ทั้งประเทศราว 99มาจากโทคุชิมะแห่งนี้ 
โทคุชิมะยังไม่นับรวมกับผลผลิตท้องถิ่นที่รสชาติดีจนคนญี่ปุ่นยกนิ้วให้ และใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในไลน์อาหารของโรงแรม ภัตตาคาร รวมไปถึงร้านอาหารทั้งเล็กและใหญ่ในโทคุชิมะ ทั้งอาหารคาวหวานรวมไปถึงของฝาก อาทิ สตอเบอรี่ มันเทศ หอมใหญ่ ไก่อาวะโอโดริปลาแม่น้ำที่มาแหล่งธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญคือ ปลาทะเล ที่นี่เป็นแหล่งประมงสำคัญของภูมิภาค เราจึงเห็นชาวเมืองเดินเรือและนั่งตกปลาอย่างสำราญ มีปลาหลายชนิดที่พิเศษกว่าใคร เช่น ปลากะพงญี่ปุ่น หรือปลาไท เป็นทั้งปลามงคลและปลาคุณภาพของที่นี่ เพราะใช้พละกำลังว่ายในน้ำวนนารูโตะจนฟิตปั๋ง เนื้อแน่นแต่ละลายในปาก! เดี๋ยวเราจะพาทุกท่านไปชิม พร้อมชมทิวทัศน์ตามเส้นทางที่ธรรมชาติเนรมิตมาเป็นของขวัญแด่คนในจังหวัดโทคุชิมะโดยแท้
โทคุชิมะ
โทคุชิมะ

ปักหมุดหนึ่งวัน อัศจรรย์ “นารูโตะ”

จากสนามบินคันไซ หากนั่งรสบัสลัดเลาะริมอ่าวโอซาก้า ผ่านเกาะอาวะจิทางตอนใต้ของจังหวัดโกเบ แวะพักระหว่างทางที่จุดพักรถอาวะจิ (Awaji Service Area Big Ferris Wheel) มีชิงช้าสวรรค์สูงเด่น จิบกาแฟชมวิวสะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge) รับลมเย็นชมวิวมองดูชาวเมืองพาสุนัขมาเดินเล่นเพลิน ๆ แล้วเล็งของฝากที่ตระการตาสุดๆ… เอ่อ เดี๋ยวนะ นี่ยังไม่เข้าโทคุชิมะเลย อดใจไว้ก่อน!

จุดพักรถอาวะจิ (Awaji Service Area Big Ferris Wheel)จุดพักรถอาวะจิ (Awaji Service Area Big Ferris Wheel)
จุดพักรถอาวะจิ (Awaji Service Area Big Ferris Wheel) 
ข้ามจากเกาะอะวะจิมาถึง สะพานโอนารูโตะ (Onaruto Bridge) ที่เสมือนประตูทางเข้าโทคุชิมะ บริเวณนี้มีจุดชมวิวหลายแห่ง สามารถขึ้นยอดเขาชมวิวสูงหรือจะมองจากมุมระเบียงใต้คานสะพานก็ได้

แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจนอกเหนือจากวิวสะพานแขวนสีขาวที่สวยงามนั่นคือ บริเวณใต้สะพานแห่งนี้มีปรากฏการณ์น้ำวนที่ทรงพลังที่เรียกกันว่า น้ำวนนารูโตะ (Naruto Whirlpools) ซึ่งเกิดจากแรงน้ำขึ้นน้ำลงของทะเลเซโตะปะทะกับน้ำทะเลแปชิฟิกผ่านช่องแคบนารูโตะ เกิดเป็นเป็นเกลียวคลื่นน้ำวนที่หาชมได้ยาก จึงพลาดไม่ได้ที่จะล่องเรือชมน้ำวนระยะใกล้ ที่นี่มีบริการล่องเรือชมน้ำวนทั้งแบบลำใหญ่ Wonder Naruto ชมภาพมุมสูงบนเรือ สามารถเพิ่มอีกเลเวลบนชั้นวีไอพี หรือจะลงเรือลำเล็กแบบ AQUA EDDY สามารถมองใต้น้ำจากหน้าต่างกระจกใต้ท้องเรือได้ด้วย


โมเมนท์ตอนเจอน้ำวนน่าตื่นเต้นสุด ๆ คอยลุ้นว่าเรือจะถูกน้ำวนดูดลงทะเลหรือเปล่า แถมจังหวะที่น้ำวนเด่นชัดเกิดขึ้นชั่วขณะและกระจายหลายจุด ต้องตั้งหน้าตั้งตารอเดี๋ยวพลาดช็อตเด็ด!

ใครอ่านแล้วสนใจพุ่งตัวไปเลยในเดือนช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เป็นช่วงเวลาที่น้ำวนทรงพลังที่สุด

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.uzusio.com/en/

 
ห่างจากจุดลงเรือเดินทางเพียง 1.5 กิโลเมตร คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอสึกะ (Otsuka Museum of Art) หมุดหมายของคนรักศิลปะยุคใหม่ เพราะที่นี่รวบรวมสุดยอดผลงานจากทั่วโลกมาไว้ในที่เดียวและจำลองผลงานของศิลปินเอกในตำนานอย่าง แวนโก๊ะ, โมเนต์, ดาวินซี, แร็มบรันต์, เซซาน, เทอร์เนอร์, ปิกัสโซ ฯลฯ เรียกได้ว่าเก็บหมดตั้งแต่ยุคเรอเนซองส์ บาโรก จนถึงโมเดิร์นอาร์ต ทั้งยังพาย้อนเวลาไปถึงศิลปะกรีกยุคโบราณ ต้นกำเนิดศิลปวัฒนธรรมตะวันตกที่มีนานนับพันปี

พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอสึกะ (Otsuka Museum of Art)

พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอสึกะ (Otsuka Museum of Art)

น่าทึ่งที่ทุกผลงานมากกว่าพันชิ้นตั้งแต่ภาพจิตกรรมฝาผนังโบราณจนถึงงานภาพวาดสมัยใหม่ที่เป็นสมบัติล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์ศิลปะมากกว่า 190 แห่งใน 26 ประเทศทั่วโลก ได้รับการอนุญาติอย่างถูกต้องให้จำลองบนแผ่นเซรามิกด้วยเทคนิคพิเศษขนาดเท่าต้นฉบับ ซึ่งเทคนิคนี้ทำให้ทุกผลงานอยู่ยงคงกะพันนานถึงสองพันปี!

คนรักศิลปะสามารถชื่นชมผลงานของศิลปินที่รัก โดยชมผลงานได้ในระยะใกล้ สัมผัสผลงานได้ ภ่ายภาพได้ (แต่ห้ามขูดขีด ห้ามใช้แฟลชและไม่อนุญาติให้นำขากล้องเข้าพิพิธภัณฑ์นะ) เราแนะนำว่าต้องใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงเพื่อเดินชมผลงานทั้งหมดทั่วพื้นที่ทั้ง 5 ชั้น เพราะที่นี่คือ พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการถาวรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น มีพื้นที่ 29,412 ตารางเมตร หรือถ้าเดินตามลูกศรที่พิพิธภัณฑ์นำทางมีระยะทางถึง 4 กิโลเมตร
หากคุณหลงไหลในศิลปะโปรดยกช่วงเวลาบ่ายมาเสพงานศิลป์ จะชิมขนมหรือรับประทานอาหารที่นี่ก็มีบริการ คนรักศิลปะอยู่ได้ทั้งวันแน่นอน

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://o-museum.or.jp/en/

 

ความอาร์ตของเมืองนี้ไม่ได้มีแค่พิพิธภัณฑ์ ห่างออกไปเพียง 5 นาที คือคาเฟ่ French Monstar Setouchi Food Art โรงงานขนมหวานขนาดย่อมที่ตั้งใจเล่าเรื่องราวของโทคุชิมะผ่านการทำขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศส เช่น ขนมเซเบิลฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมสอดไส้ครีมมันเทศนารูโตะ-คินโทกิ น้ำชาอาวะสุดาจิ รวมถึง พุดดิ้งทอปครีมต้นตำรับฉบับนารูโตะที่ตั้งชื่อว่า “สู่ดวงจันทร์ สู่นารูโตะ” ของหวานที่มาจากเรื่องราวในวัยเด็กของเจ้าของร้าน เขาเติบโตในเกียวแต่ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้มาเยี่ยมบ้านคุณยายในโทคุชิมะ ความรู้สึกของเด็กชายในขณะที่ได้นั่งเครื่องบินขนาดเล็กมาที่เมืองแห่งนี้ ไม่แตกต่างกับการได้ขึ้นยานสู่ดวงจันทร์เลยล่ะ น่ารักมากๆ

 French Monstar Setouchi Food Art
 French Monstar Setouchi Food Art

นอกจากขนมแต่ละชนิดมีที่มา รสชาติก็ยังอร่อย จนได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดของที่ระลึกเซโตะอุจิ และได้รับเลือกให้เป็นของหวานที่เสิร์ฟบนเที่ยวบินภายในประเทศของ JAL ชั้นเฟิร์สคลาส ไม่เพียงเท่านั้น บนชั้นสองของร้านยังเป็นจุดชมวิวโยมิคามิแบบ 360 องศาที่สวยงามสุดๆ

  • ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.frenchmonstar.com/setouchi_foodart/ 

 French Monstar Setouchi Food Art

เหนือคาเฟ่ขึ้นเขาไปอีกไม่กี่นาที เหมาะมากสำหรับอาหารมื้อหลัก ที่อิ่มทั้งร่างกายและสายตาด้วยทิวทัศน์เมืองทะเลนารูโตะ แนะนำอาหารสไตล์ฝรั่งเศสที่ California Table ตั้งอยู่ในพื้นที่ของโรงแรม Hotel Ridge ที่บอกเลยว่าทำเลดีมาก วิวสวยทั้งโรงแรม แต่ในส่วนร้านอาหารนี้ เปิดช่วงทานอาหารกลางวันทุกวันไม่ต้องจอง และเปิดรับดินเนอร์เฉพาะ เสาร์-อาทิตย์ แต่ต้องจองล่วงหน้าก่อนอย่างน้อยสามวัน จองผ่านเว็บไซต์นี้ https://hotelridge.jp/california-table/

California Table
สำหรับเมนูแนะนำเชฟจัดแอพพิไทเซอร์เรียกน้ำย่อยด้วย หอยทากอบเนยสมุนไพร เสิร์ฟพร้อมทาร์ตลูกพลับครีมชีส  ตามด้วยทูน่าครีบแดงย่างราดซอสผลไม้สไตล์สลัด  ซุปครีมแครอทออร์แกนิกจากทางตอนใต้ของโทคุชิมะที่เติมรสหวานกรุบกรับด้วยบิสกิต อร่อยมาก!

ส่วนเมนคอร์สจานหลัก เชฟเสนอเมนูจัดจ้านเบาๆ เป็นปลาซาบะโทคุชิมะราดซอสปาปริก้าโรยปลาชิราสึ ก่อนตบท้ายของหวานด้วยเกรมากาตาลานา หรือเครมบรูเล่ ที่หน้าตาเหมือนชิ้นปลาย่างแต่เป็นครีมหวานนุ่มละมุนลิ้น เราจบด้วยกาแฟเย็นอีกแก้ว เพอร์เฟค!
California Table

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://hotelridge.jp/california-table/

ไหน ๆ ก็มาแล้ว พาไปชมห้องพักใน HOTEL RIDGE   ด้วยเลย เพราะทำเลดีมากจริงๆ ตั้งอยู่บนแหลมสึโบะที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ทะเลนารูโตะแบบพาโนรามา มีห้องพักสามสไตล์สุดไพรเวท ตั้งแต่ราคาหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนเยน แต่การดีไซน์พื้นที่ให้วิวหลักล้านทุกห้อง เรื่องตกแต่งภายในยิ่งบอกถึงความหลงไหลในงานศิลปะและนอบน้อมต่อธรรมชาติอย่างสัมผัสได้ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของโรงแรมแห่งนี้คือผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะโอสึกะนั่นเอง 

HOTEL RIDGE
HOTEL RIDGE
HOTEL RIDGE

นอกจากห้องพักรับวิวสวย ที่นี่ยังมีบริการออนเซ็นน้ำแร่ 100% ที่น่าสนใจมากคือเรือนรับรองที่คงสถาปัตยกรรมดั้งเดิมแบบยุคโชวะ ริ้วคลื่นบนบานกระจกทำมือที่มีเพียงหนึ่งเดียว รวมถึงสวนญี่ปุ่นแบบเซนที่ไม่เพียงแค่ผู้มาเยือนได้มองเพลินชวนสงบใจ แต่พนักงานในโรงแรมที่ผลัดเปลี่ยนกันกลบเกลี่ยเรียงกรวดหิน ยังได้ผ่อนคลายชำระล้างจิตใจขณะทำสวนซึมซับพุทธปรัชญาแห่งจิตวิญญาณ 

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://hotelridge.jp




สำหรับมื้อเย็นใครอยากจัดหนักแบบบุฟเฟต์พรั่งพร้อมด้วยของดีโทคุชิมะที่กล่าวไว้ตอนต้น Tokushima resort hotel  | Aoaonarutorizoto  คือที่พักอีกแห่งที่ตอบโจทย์ เพราะไม่ใช่แค่ห้องพักวิวทะเลอีกสไตล์ ที่นี่ยังพร้อมสรรพทั้งบริการออนเซ็น และขึ้นชื่อเรื่องห้องอาหาร IRODORI Restaurant บุฟเฟต์ไลน์อลังการที่เต็มไปด้วยของดี ซาซิมิปลาไทจากทะเลน้ำวนนารุโตะ เทมปุระมันหวาน สเต็กเนื้อย่างอย่างนุ่ม มีโชว์แร่ปลามากุโระไซส์บิ๊ก กินได้ไม่อั้น ทุกจุดมีส้มสุดาจิให้หยิบไปบีบเพิ่มรสชาติได้ทุกเมนู



ที่นี่ยังมีเมืองจำลองตลาดเก่ายุคโชวะ เพลิดเพลินกับวิถีชีวิตในอดีตของญี่ปุ่น เกมการละเล่นพื้นบ้าน และมีการแสดงระบำอาวะโอโดริที่สืบทอดกันมายาวนานกว่า 400 ปี ผู้เข้าพักสามารถสวมยูกาตะที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้และใช้บริการได้ทุกจุด

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.aoawo-naruto.com/en/publics/index/95/


 

Tokushima resort hotel  | Aoaonarutorizotoวิวยามเช้าจากห้องพักของโรงแรม Tokushima resort hotel | Aoaonarutorizoto

จบโปรแกรมหนึ่งวันในนารูโตะที่สะดวกสุด ๆ เพราะแต่ละสถานที่อยู่ใกล้กัน ใช้เวลาเดินทางไม่นาน เหมาะสำหรับคนที่มีแพลนเที่ยวหลายจังหวัดแวะมาที่นี่ได้ หรือจะลุยต่อเฉพาะโทคุชิมะก็จัดเลยยาว ๆ กับเรื่องราวที่เราอยากแนะนำต่อจากนี้

“JAPAN BLUE” ผ้าย้อมคราม สัมผัสวิถีชีวิตเมืองเก่าที่รุ่งเรือง

จากเมืองนารูโตะ เดินทางตามถนนขนานแม่น้ำโยชิโนะ เป็นแม่น้ำหลักของโทคุชิมะ ระหว่างทางผ่านเมืองอาวะมีสุดยอดอุด้งในตำนานซ่อนอยู่ นั่นคือ ร้าน Kanegin Sakano เจ้าตำรับ ทะไรอุด้ง (Tarai Udon) อุด้งในอ่างไม้สนขนาดใหญ่ที่มีความเป็นมายาวนานตั้งแต่ปลายสมัยเอโดะ จากอาหารของคนตัดไม้บนภูเขาที่รวมกลุ่มกันกินเส้นอุด้งทำมือในชามอ่างขนาดใหญ่ ปัจจุบันกลายเป็นอาหารท้องถิ่นยอดนิยมของโทคุชิมะที่กลุ่มเพื่อนและครอบครัวรวมกันกินอุด้งในชามเดียวกัน แถมรสชาติดีไม่เบา เราขอยกให้เป็นเมนูแห่งความอบอุ่นของญี่ปุ่นไปเลย

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.kanegin-sakano.com/

 
Kanegin Sakano
Kanegin Sakano

ติดกันคือเขตเมืองมิมะ พื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำโยชินะ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุที่สายน้ำพัดพาลงมาทำให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่ปลูกอะไรก็งอกงาม โดยเฉพาะต้น “อาวะ-ไอ” จุดกำเนิดสีครามซึ่งเป็นสินค้าสำคัญในยุคก่อน กระทั่งเป็นเมืองท่าสำคัญซึ่งยุคนั้นเดินทางด้วยเรือเป็นหลัก เกิดเป็นชุมชนอุดมความมั่งคั่งของเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่กลายเป็นเศรษฐียุคเอโดะ ปัจจุบันคือ เมืองเก่าอุดะสึ โนะ มะจินามิ (Udatsu Old Street)


มืองเก่าอุดะสึ โนะ มะจินามิ (Udatsu Old Street)

เมืองเก่าอุดะสึ เป็นเขตอนุรักษ์กลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างดั้งเดิมทรงคุณค่าของประเทศญี่ปุ่น ถนนที่มีความยาวเท่ารถไฟชินคันเซนทั้งขบวน (430 เมตร) เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณตั้งแต่ยุคเอโดะและโชวะ พาย้อนเวลาไปนานถึง 230 ปี แต่น่าเสียดายที่บ้านอายุสองร้อยกว่าปีแบบดั้งเดิมนั้นหายไปในพริบตาจากเหตุเพลิงไหม้ เมื่อสร้างบ้านขึ้นใหม่จึงเกิดภูมิปัญญาในการป้องกันไฟลุกลาม โดยสร้างผนังกันลมเหนือหลังคาชั้นแรก เรียกกันว่า “อุดะสึ”

แต่ละบ้านปูหลังคาด้วยกระเบื้องทนไฟที่แพร่หลายในญี่ปุ่นราวศตวรรษที่ 17 เรียกว่า “คาวาระ” ยอดจั่วหรือมุมหลังคามีสัญลักษณ์คล้ายเทพในตำนาน ที่เรียกว่า “โอนิกาวาระ” หมายถึง “การขับไล่ปีศาจ” ทั้งสัญลักษณ์และรูปแบบบ้านแตกต่างกันไปตาม “ฐานะ” ผู้คนยุคนั้นโชว์ความร่ำรวยด้วยสิ่งนี้


มืองเก่าอุดะสึ โนะ มะจินามิ (Udatsu Old Street)
มืองเก่าอุดะสึ โนะ มะจินามิ (Udatsu Old Street)
นอกจากการอนุรักษ์อาคารบ้านเรือน ที่นี่ยังเป็นศูนย์อนุรักษ์ร่มญี่ปุ่นโบราณที่เหลือเพียงแห่งเดียวในเกาะชิโกกุ และเป็นใน 1 ใน 30 แห่งทั้งญี่ปุ่นที่ยังเหลืออยู่ เรียนรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมหรือเช่าร่มเดินเที่ยวในเมืองเก่าถ่ายรูปสวยๆ ได้เลย ที่นี่มีบริการเช่าชุดประจำชาติญี่ปุ่น ชุดกิโมโน และชุดยูกาตะ โดยมีคุณยูริช่วยดูแลแต่งตัวให้เสร็จสรรพ ค่าเช่าชุด 3500 -5000 เยน ใส่ได้ทั้งวันตั้งแต่ 9.00 น.–16.00 น.

มืองเก่าอุดะสึ โนะ มะจินามิ (Udatsu Old Street)
มืองเก่าอุดะสึ โนะ มะจินามิ (Udatsu Old Street)
เดินเหนื่อยแล้วแวะพักที่ ร้านไอโซ ร้านอาหารและจำหน่ายของที่ระลึก ลองดื่ม“โคล่า” ที่ไม่ใช่น้ำอัดลมที่คุ้นเคย แต่เป็นเครื่องดื่มจากไซรัปกลิ่นอบเชยผสมพริกและสุดาจิของโทคุชิมะแบรนด์ Fukkaru Cola เมื่อใส่โซดาเติมน้ำแข็งกลายเป็นเครื่องดื่มที่น่าแปลกใจ แต่ดื่มแล้วสดชื่น! ที่น่าประทับใจคือ เป็นผลิตภัณฑ์ของคนรุ่นใหม่ที่กลับมาช่วยดูแลท้องถิ่นโทคุชิมะซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.udatsulist.com/blank-8

 1200x800logotoku(36)

ย้อนไปยังต้นน้ำของแม่น้ำโยชิโนะ ในเขตเมืองอิตาโนะมี พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สีคราม Aizumicho Historical Museum, “Ai-no-Yakata” เรียนรู้ประวัติศาสตร์การย้อมครามผ่านนิทรรศการและทดลองกิจกรรมย้อมผ้าด้วยตนเอง ที่นี่ได้รับการอนุรักษ์ตั้งแต่สมัยที่การค้าขายครามอาวะเฟื่องฟู ตระกูล Okumara สละบ้านส่วนตัวที่ร่ำรวยจากธุรกิจครามเป็นแหล่งอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่มีมานานนับพันปี 


พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สีคราม Aizumicho Historical Museum

ผ้าย้อมครามกลายเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของญี่ปุ่นและพบได้หลายแห่งในโทคุชิมะ ในยุคสมัยเมจิ ชาวอังกฤษมาเยือนญี่ปุ่นเห็นชุดกิโมโนสีครามที่คนญี่ปุ่นสวมใส่ในสมัยนั้นจึงสะดุดตาแล้วเรียกว่า “Japan Blue” กลายเป็นชื่อเรียกสีครามของญี่ปุ่น และถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่โตเกียว เราว่าเหมาะคำนี้มากกับโทคุชิมะ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นทั้งท้องทะเลและท้องฟ้าสีครามเหมือนกัน

  • ข้อมูลเพิ่มเติม  https://shikoku-guide.com/en/information/ainoyakata/

    พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สีคราม Aizumicho Historical Museum

มิโยชิ เมืองเร้นลับ สายสัมพันธ์ธรรมชาติและชุมชน

ติดเขตมิมะคือเมืองมิโยชิ ที่แม่น้ำโยชิโนะพัดพาความอุดมสมบูรณ์มาให้เช่นกัน ในเมืองเล็ก ๆ นั้น มีสวนสตรอว์เบอร์รี่หวานฉ่ำที่เก็บผลผลิตได้ทั้งปี และสวนที่เป็นนัมเบอร์วันเรื่องผลผลิตไม่เว้นช่วงคือ สวนสตรอว์เบอร์รี่บ้านอิจิโกะ ผลผลิตของครอบครัวอารมณ์ดีที่ดูจากภาพก็รู้เลย!

สวนสตรอว์เบอร์รี่บ้านอิจิโกะ
สวนสตรอว์เบอร์รี่บ้านอิจิโกะ
สวนสตรอว์เบอร์รี่บ้านอิจิโกะ
นอกจากความอุดมสมบูรณ์ของภูมิประเทศเทคนิคการปลูกก็สำคัญ ที่นี่ใช้รางปลูกยกสูงจากพื้น นอกจากดูแลง่ายสะดวกต่อการเก็บผลผลิต ยังอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้เดินไปชิมไป ถูกใจยิ่งนัก! เพิ่มความอร่อยไปอีกด้วยการทำไดฟุกุสตรอว์เบอร์รี่ด้วยตนเอง คุณลุงเจ้าของสวนเตรียมแป้งไดฟุกุทำเองที่บอกเลยว่าเนื้อนุ่มอร่อยเหาะ มาพร้อมถั่วกวนหวานน้อย และคอยสอนให้ลงมือปั้นเป็นก้อน ปั้นเสร็จงับเลยเต็มคำ ตามด้วยน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นฉ่ำ ๆ กินแล้วอยากตะโกนดัง ๆ สวรรค์อยู่ตรงนี้!!

  • ข้อมูลเพิ่มเติม http://ichigo-nishiawa.com/

สวนสตรอว์เบอร์รี่บ้านอิจิโกะ

อีกจุดที่ดีต่อใจคือ ต้นการบูรยักษ์อายุพันปี ตั้งตระหง่านโชว์กิ่งก้านอย่างสวยงามในเมืองฮิงาชิมิโยชิ เป็นต้นการบูรป่ามิคาโมะ ที่ชุมชนดูแลรักษาเป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นต้นไม้ยักษ์ดีที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ปัจจุบันทางการอนุรักษ์ให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติพิเศษของประเทศภายใต้การคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ที่อนุญาตให้ผู้คนแวะเวียนมารับพลังจากร่มไม้ใหญ่ ไหว้ขอพรศาลเจ้าแม่งูขาวใต้ต้นการบูร เมื่อย้อนถึงช่วงเวลาจิบชาที่มีต้นไม้อันสง่างามอยู่เบื้องหน้า หากได้เคล้าเสียงขลุ่ยมังกรทำนองเพลงดั้งเดิมที่ได้ฟังจากคนในชุมชนไปด้วย เราคงตกในภวังค์และสัมผัสได้สายสัมพันธ์อันแสนอบอุ่นระหว่างธรรมชาติและผู้คนยิ่งกว่าเดิม


นอกจากความสมบูรณ์พื้นราบ ความโดดเด่นของพื้นที่ทางตอนใต้ของจังหวัดโทคุชิมะคือทิวเขาที่งดงาม โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ชาวมิโยชิในอดีต ใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติและเพิ่งจะเริ่มใช้ไฟฟ้าเมื่อราว 50 ปีหลังนี้เอง วิวสองข้างทางจึงเห็นบ้านเรือนสูงชัน ชวนให้สงสัยถึงการใช้ชีวิต แต่ถ้าถามว่าพวกเขาลำบากแค่ไหน เรากลับได้คำตอบว่าคำว่าลำบากคืออะไรไม่รู้จัก!

เส้นทางชีวิตจริงที่จะทำให้เราเห็นภาพในอดีตเด่นชัด คือความเร้นลับใน “หุบเขาอิยะ” (Iya Valley) ช่องทางลาดชันที่เต็มไปด้วยน้ำเชี่ยวในฤดูน้ำหลาก ในฝั่งตะวันตกของหุบเขามี “สะพานโอคุ-อิยะ นิจู คาซุระบาชิ” (Oku-Iya Niju Kazurabashi) สะพานแขวนข้ามเขาที่สร้างขึ้นโดยการทอเถาวัลย์ต้นวิสเทอเรีย กลุ่มชนพื้นเมืองโบราณอาศัยสะพานนี้เดินทางข้ามเขา ตัวสะพานถูกสร้างหลังจากชาวบ้านได้อพยพจากสงครามเพื่อมาตั้งที่อยุ่อาศัยในพื้นที่อิยะแห่งนี้ และสะพานสามารถถูกตัดทิ้งได้ทุกเมื่อเพื่อป้องกันข้าศึก

“สะพานโอคุ-อิยะ นิจู คาซุระบาชิ” (Oku-Iya Niju Kazurabashi)
“สะพานโอคุ-อิยะ นิจู คาซุระบาชิ” (Oku-Iya Niju Kazurabashi)
ใกล้สะพานคาสุระบาชิ มีน้ำตกชื่อ “บิวะ” หมายถึงเครื่องดนตรีที่คนไทยเรียกว่า “พิณ” เหตุที่ชื่อนี้ก็เพราะในยุคสงครามผู้คนหลบหนีมาจุดนี้ เมื่อรู้สึกเศร้าคิดถึงบ้านจึงบรรเลงเพลงพิณคลายทุกข์

เช่นเดียวกับหญิงชาวอิยะที่มักร้องเพลงคลายเหงาและ “แก้ง่วง” เพราะต้องใช้เวลาโม่แป้งเป็นเวลานานกว่าจะได้เส้น “โซบะ”อาหารที่ชาวเขาบริโภคแทนข้าว “อิยะโซบะ” จึงเป็นอาหารท้องถิ่นที่ต้องมาลอง เพราะเส้นทำมือแป้งน้อยให้รสสัมผัสที่แตกต่าง จึงตามไปลองรสชาติแบบดั้งเดิมที่ ร้านอิยะโซบะ โมมิจิ เทอิ (Iya-soba Momiji tei) ร้านนี้เป็นบ้านเก่าอายุกว่า 200 ปี ตั้งอยู่ริมหุบเขา ซดโซบะร้อน ๆ พร้อมมองวิวสวยริมหน้าต่าง ทานคู่กับเทมปุระผักท้องถิ่น และเมนูย่าง “ปลาอายุ” ราชินีแห่งสายน้ำ อาศัยอยู่ในแม่น้ำที่สะอาดเท่านั้น อิ่มแล้วรู้สึกสุขภาพดีไปด้วย

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://west-west.com/en/momiji/



 ร้านอิยะโซบะ โมมิจิ เทอิ (Iya-soba Momiji tei)
ชีวิตในหุบเขายังนำความเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจเพื่อสอนให้เด็กๆ ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เหมือนกับ การ์ตูนผีน้อยคิวทาโร่ (Oboke no Q-taro) ที่เคยโด่งดังในปี 1985 ผลงานของ อ.ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ผู้สร้างการ์ตูนโดเรมอน เขาได้แรงบันดาลใจมาจาก หุบเขาโอโบเกะ (Oboke Gorge) ใกล้หุบเขาอิยะที่มีความเชื่อเรื่องภูติผีเล่าต่อกันมาหลายอายุคน

 หุบเขาโอโบเกะ (Oboke Gorge)
 หุบเขาโอโบเกะ (Oboke Gorge)
 หุบเขาโอโบเกะ (Oboke Gorge)

หุบเขาโอโบเกะ เป็นช่องแคบที่เต็มไปด้วยผาหินที่ถล่มลงมา แต่กลับมีชีวิตชีวาและสวยงาม เป็นทิวทัศน์ที่น่าประทับใจ แถมลักษณะของหินก็มีรูปร่างชวนจินตนาการ บางจุดคล้ายสิงโตไลออนคิงยืนสง่า ในช่วงเทศกาลวันเด็กของทุกปีตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมไปจนถึงช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม หุบเขาแห่งนี้จะเต็มไปด้วยธงปลาคาร์ฟปลิวไสวอยู่ทั่วพื้นที่

นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมธรรมชาติในหุบเขาโอโบเกะได้ที่ท่าเรือ Oboke Gorge Sightseeing Boat  มีร้านอาหารและจำหน่ายสินค้าที่ระลึก จุดบริการซื้อตั๋วมีภาษาไทยด้วยนะ เห็นชัดว่าชุมชนรอต้อนรับคนไทยสุด ๆ ไปแปะสติกเกอร์แล้วจะเห็นว่าคนไทยยังไม่ค่อยได้มากัน ไปสร้างสถิติกันพวกเรา!

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://miyoshi-tourism.jp/en/

 หุบเขาโอโบเกะ (Oboke Gorge)

พักผ่อนไปกับหุบเขาอิยะอย่างแนบชิดมากขึ้นที่ โรงแรมอาวาโนะโช (Awanosho) ห้องพักสไตล์เรียวกังแบบฉบับญี่ปุ่นดั้งเดิม มีแบบเวสเทิร์นให้เลือกพักด้วย ห้องพักแบบเรียวกังมีห้องน้ำแต่ไม่มีพื้นที่อาบน้ำ เพราะคนญี่ปุ่นที่เข้าพักต่างลงมาแช่ Onsen Samachi-no-yu ของโรงแรม ว่ากันว่าเป็นออนเซ็นที่ดีที่สุดในหุบเขาโอโบเกะ ใครได้ลองแช่ออนเซ็นของที่นี่ต่างรู้สึกว่าผิวเด้งนุ่มลื่น สดชื่นขึ้นเป็นกอง

วิวจากโรงแรมสามารถมองเห็นทิวเขาอิยะและสะพานรถไฟอิเคดะข้ามแม่น้ำโยชิโนะ บรรยากาศห้องอาหารในตอนเช้านั้นดีต่อใจ ทั้งไลน์อาหารเช้าก็หลากหลาย มีโยเกิร์ตอาวาโนะโชแบบโฮมเมด ซุปดาชิ เฟรนโทสต์ โจ๊กบัควีท อร่อยไม่แพ้โรงแรมที่อื่นในโทคุชิมะเลย

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://hpdsp.jp/awanosho/en/

โรงแรมอาวาโนะโช (Awanosho)
โรงแรมอาวาโนะโช (Awanosho)
โรงแรมอาวาโนะโช (Awanosho)

เสน่ห์เมืองอนัน ศาลเจ้าแมวศักดิ์สิทธิ์ คาเฟ่ที่คิดเพื่อชุมชน

ขยับเข้าใกล้ตัวเมืองโทคุชิมะ มากันที่เมืองอนัน ศาลเจ้าโอมัทสึ ไดก็อนเกน (Omatsu Daigongen) ทาสแมวต้องร้องว้าวเพราะมีรูปปั้นแมวและตุ๊กตาแมวกวักมากกว่า 1 หมื่นตัว! ร่ำลือว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ใครมาไหว้ขอพรจะยืมรูปปั้นแมวไป 1 ตัว และเมื่อสมหวังแล้วจะต้องนำตัวเดิมกลับมาพร้อมบริจาคเพิ่มอีก 1 ตัว จำนวนแมวที่เพิ่มขึ้นจึงหมายถึงความสมหวังตามปราถนานั่นเอง 

ศาลเจ้าโอมัทสึ ไดก็อนเกน (Omatsu Daigongen)
ศาลเจ้าโอมัทสึ ไดก็อนเกน (Omatsu Daigongen)

ตามตำนานศาลเจ้าแห่งนี้มาจากพลังความรักของแมวที่เรียกร้องความยุติธรรมให้กับ “โอมัตสึ” นายหญิงที่ถูกเอาเปรียบและใส่ความ แม้จะต่อสู้อย่างไม่ถดถอยแต่ก็ต้องจบชีวิต  ภายหลังทุกคนที่ทำร้ายนางก็เกิดเรื่องราวแปลก ๆ จนชีวิตถึงหายนะไฟไหม้บ้านสิ้นเนื้อประดาตัว โดยมีแมวตัวนั้นปรากฏตัวขึ้นในที่เกิดเหตุทุกครั้ง ชาวบ้านต่างพากับรับรู้ถึงความอยุติธรรมจึงสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นเพื่อยกย่องการต่อสู้ของโอมัตสึและแมวผู้ซื่อสัตย์ และเชื่อกันต่อมาว่าศาลแห่งนี้จะนำพาความสำเร็จในการฟ้องร้อง การสอบเข้าเรียน การเลือกตั้ง กิจการที่รุ่งเรือง และนำความโชคดีมาให้

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://nekogami.jp/

ศาลเจ้าโอมัทสึ ไดก็อนเกน (Omatsu Daigongen)

ร้านนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ CAFE and BAR NuuN คาเฟ่ที่ในเมืองอนันที่มีแนวคิดที่ดีมาก นอกจากอาหารฟิวชั่นและเครื่องดื่มที่เน้นวัตถุดิบของโทคุชิมะ ยังเป็นคาเฟ่และบาร์แห่งเดียวของโทคุชิมะที่มองเห็นปัญหาการเลี้ยงดูเด็กเล็กในห้องแคบในเมือง จึงจัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของร้านช่วยเลี้ยงเด็กที่มีอายุ 0-5 ขวบ โดยมีเจ้าหน้าผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลอย่างจริงจัง แต่พ่อแม่จะมาทิ้งหรือฝากไว้ไม่ได้นะ ต้องเลี้ยงเด็กๆ ร่วมกัน สามารถใช้บริเวณที่จัดเตรียมไว้ให้ ช่วยให้เด็ก ๆ มีพื้นที่เล่นมากขึ้นขณะที่ผู้ปกครองก็ลดความเครียดลงและเรียนรู้วิธีการดูแลเด็กจากผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนถึงให้คำปรึกษาปัญหาครอบครัวได้ด้วย

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.instagram.com/n.u.u.n.2020
     

สำหรับที่พักเมืองนี้ แนะนำ Hotel Route Inn Anan เป็นโรงแรมแบบ Business Hotel สไตล์คนเมือง ห้องไม่กว้างแต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ รอบโรงแรมมีร้านอาหาร ร้านหนังสือ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ สามารถออกไปเดินเล่นได้ ส่วนไลน์อาหารเช้าครบเครื่องเรื่องของดีของโทคุชิมะเช่นกัน 

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.route-inn.co.jp.e.ut.hp.transer.com/




นั่งรถบัสสับราง! ชิมเบอร์เกอร์เนื้อฉ่ำริมทะเล

ก่อนเข้าตัวเมือง พามาเปิดประสบการณ์ใหม่ที่เมืองอามะ นั่งรถบัสที่กลายเป็นรถไฟในคันเดียวกัน! ใช่แล้วอ่านไม่ผิด เพราะนี่คือ รถ DMV (Dual-mode vehicle) เป็นทั้งรถบัส และทั้งรถไฟ วิ่งได้ทั้งบนถนนและบนราง เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2022 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้คนท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ต้องการเดินทางไปมาระหว่างโทคุชิมะและจังหวัดโคจิ จากปกติต้องขึ้นรถบัสต่อรถไฟหลายเที่ยว คราวนี้นั่งเลยยาว ๆ ชมวิวทะเลตามถนน ก่อนเปลี่ยนโหมดเป็นรถไฟเข้าอุโมงค์ทะลุช่องเขามองวิวเพลิน ๆ

ช่วงเปลี่ยนโหมดสับราง ผู้โดยสารสามารถชมวิธีการผ่านจอบนรถได้ ระบบล้อยางและล้อเหล็กจะสลับหน้าที่กันทำงานใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็เรียบร้อยแล้ว เป็นนวตกรรมยานยนต์ที่เห็นใจผู้คนในชุมชนอย่างมากทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามจังหวัดได้ด้วย

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://asatetu.com/archives/156/

 

เมื่อได้ลองนั่งรส DMV เข้าเขตเมืองไคฟุ ลงสถานี Awa-Kainan Bunkamura ไกลออกมาเพียง 2 นาทีจะเจอร้าน Takesand ร้านอาหารเล็กๆ ริมทะเล ที่รวบรวมอาหารอร่อยจากทั่วโลก ทุกเมนูปรุงด้วยวัตถุดิบชั้นดีของโทคุชิมะ เช่น เนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าไม่กินอาหารสัตว์ ไก่อาวะวัยหนุ่มเนื้อแน่น ผักกาดหอมปลอดยาฆ่าแมลงจากเมืองไคโย มะเขือเทศสุกหวานจากอาวะ แค่วัตถุดิบก็กินขาด พอเบอร์เกอร์ สเต็กเนื้อหมักไวน์แดงมาเต็มถาด อร่อยจนกินหมดเกลี้ยง!

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.instagram.com/takesand4491/



ร่ายรำระบำอาวะโอโดริ ลิ้มรสเมนูเด็ดโทคุชิมะ

เข้าสู่เมืองโทคุชิมะ ห่างจากสถานีรถไฟ JR เพียง 10 นาที เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์อาวะโอโดริไคคัง (Awa Odori Kaikan) ภายในอาคารชั้นแรกเต็มไปด้วยของที่ระลึกที่น่าสนใจ ชั้นถัดไปเป็นส่วนจัดการแสดง “ระบำอาวะโอโดริ” การเต้นรำพื้นบ้านอาวะที่มีนานกว่า 400 ปี และมีชื่อเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงสิงหาคมของทุกปี เมืองโทคุชิมะจะเต็มไปด้วยนักเต้นจาก 30 คณะทั่วประเทศ เดินขบวนร่ายรำเต็มถนน เป็นเทศกาลสำคัญของเกาะชิโกกุที่คนทั่วประเทศรอคอย

ก่อนถึงเดือนที่น่าตื่นตาตื่นใจก็ชมระบำอาวะโอโดริที่จัดแสดงที่นี่ไปก่อน เราประทับใจในท่วงท่าที่งดงาม ระดับที่เสมอกันของแต่ละจังหวะ สามารถจัดระเบียบร่างกายได้อย่างพร้อมเพรียง เสียงดนตรีพื้นบ้านเพียงสองจังหวะก็เกิดเป็นท่าร่ายรำที่น่าสนุกและเพลินใจขนาดนี้ ก่อนจบการแสดงผู้ชมได้ร่ายรำร่วมกับนักแสดงทุกคนด้วย





ชมการแสดงเสร็จแล้ว อยากแนะนำให้แวะกลับมาที่ร้านขนมชั้นล่างชิม ขนมโมจิย่าง Taki no Yakimochi  ว่ากันว่าขนมนี้มีประวัติยาวนานพอ ๆ กับระบำอาวะโอโดริและปราสาทโทคุชิมะที่สร้างขึ้นเมื่อกว่า 400 ปีที่แล้ว ลักษณะเป็นแป้งโมจิไส้ถั่วหวานที่กดให้แบนและนำไปย่างเล็กน้อย กลิ่นหอมและอร่อยมาก! เรายกให้เป็นขนมในดวงใจอันดับหนึ่งของทริปนี้เลย

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.awaodori-kaikan.jp/

 




เข้าตัวเมืองโทคุชิมะ มองหาห้องพักที่สะดวกต่อการเดินเล่นในเมือง เราเลือก JR Hotel Clement Tokushima โรงแรมทำเลดี มีสถานี JR อยู่ตรงหน้า ไปไหนมาไหนได้สะดวก เดินรับลมเย็นชมวิถีผู้คนในโทคุชิมะในช่วงค่ำแล้วต้องจัดมื้อเย็นแบบชาวเมือง เริ่มที่ร้านอิซากายะและตบท้าด้วยร้านราเมง!


ร้านอิซากายะที่เลือกคือ ร้านคอนยามาจิ โยชิโกะ (Konyamachi YOSHIKONO) ร้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่บนชั้น 8 ของตึก Acty 21 ตรงสี่แยกคอนยามาจิ ในย่านบันเทิงของโทคุชิมะ ที่นี่โด่งดังเรื่องเนื้อย่างอาวะ A5 สาเกท้องถิ่น และไก่อาวะโอโดริ ที่ไม่สั่งไม่ได้เลยคือ ไก่อาวะเสียบไม้ และไก่ย่างติดกระดูก รวมถึงซาซิมิไก่อาวะ เนื้อไก่กึ่งสุกแต่ปลอดภัย ไม่เหม็นคาว และรสชาติดี!

ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1983 เก่าแก่และภาคภูมิใจในคุณภาพของกสิกรรมและปศุสัตว์ในโทคุชิมะอย่างมาก วัตถุดิบกว่า 85% ทั้งเนื้อสัตว์และพืชผักมาจากโทคุชิมะเท่านั้น สาหร่ายนารูโตะวากาเมะปรุงเป็นซาซิมิที่อยากสั่งเบิ้ลสักห้าจาน เห็ดหอมผัดเนยยังอร่อยมาก! แล้วเราก็เพิ่งรู้จากเจ้าของร้านว่า โทคุชิมะยังครองอันดับหนึ่งในประเทศในด้านเห็ดหอมสดชิตาเกะ เป็นพันธุ์ชั้นยอดทั้งในด้านรสชาติ และเนื้อสัมผัส ของดีโทคุชิมะมาเจอยอดฝีมือการทำอาหารของเชฟเจ้าของร้านนี้ อาหารยิ่งอร่อยเพิ่มขึ้นอีก 300%

  • ข้อมูลเพิ่มเติม https://yoshikono.owst.jp/



ตบท้ายด้วยราเม็งโทคุชิมะเมนูที่ร่ำลือของเมืองที่ ร้านโทคุชิมะราเม็ง เม็งโอ (Tokushima Ramen Menoh Tokushima) ราเม็งน้ำซุปเข้มข้น นิยมกินกับไข่ดิบ สามารถเพิ่มไข่ต้มหรือหมูชาชูได้ตามชอบ เส้นราเม็งมีให้เลือกทั้งเส้นสาหร่ายวากาเมะ เส้นพริกไทยดำ แถมยังมีเส้นเผ็ดและเมนูรางเม็งรสเผ็ดที่จัดจ้านให้ลองชิม ตอนแรกว่าจัดอิซากายะจนจุกแล้ว แต่ราเม็งก็อร่อยจนหมดชามด้วย!

ข้อมูลเพิ่มเติม https://7-men.com

ตามรอยศรัทธา มงเซ็ง อิจิบังไก

จากโทกุชิมะกลับเข้าเมืองนารูโตะ เพื่อย้อนไปสนามบินคันไซ เยี่ยมชม มงเซ็ง อิจิบังไก Monzen Ichibangai ร้านอำนวยการหน้าประตู วัดเรียวเซ็นจิ (Ryozenji) ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกจากทั้งหมด 88 แห่งรอบเกาะชิโกกุ เป็นจุดเริ่มต้นของการ “โอเฮนโระ” หรือการจาริกแสวงบุญตามรอยท่าน โคโบไดชิ ผู้ก่อตั้งนิกายชินงอนในญี่ปุ่น


การจาริกแสวงบุญรอบเกาะชิโกกุให้ครบ 88 วัด ต้องใช้เวลานานถึง 40 วัน ว่ากันว่าผู้ที่ผ่านจากริกแสวงบุญนี้จะพบกับความสงบในจิตใจและเป็นอิสระจากทางโลก ไม่เพียงแค่ชาวญี่ปุ่นที่พอมีฐานะและมีเวลาที่ตามรอยศรัทธานี้เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีชาวตะวันร่วมจาริกแสวงบุญตามวัดต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน

สำหรับนักท่องเที่ยวคงสามารถเช่าชุดแต่งกายเป็นนักแสวงบุญ เข้าไปไหว้พระขอพรในวัดเรียวเซ็นจิได้ เชื่อว่าหากคุณได้ลองแต่งชุดแล้วแล้วก้าวผ่านประตูวัด คุณจะรู้สึกสงบกาย วาจา ใจไปเองโดยปริยาย

ข้อมูลเพิ่มเติม https://monzen-ichibangai.com



ราวกับจุด มงเซ็ง อิจิบังไก ช่วยเคลียร์ใจให้รู้ตัวว่าใกล้ถึงเวลาต้องกลับเมืองไทยก่อน อย่าเพิ่งหลงมนต์โทคุชิมะไปมากกว่านี้ สุดท้ายจบทริปที่จุดพักรถริมทาง Kurukuru Naruto จัดมื้อกลางวันส่งท้ายที่ร้าน Oouzu Shokudo ที่มีเมนูข้าวหน้าซาซิมิที่มีให้เลือกเยอะมาก หากสั่งเซทใหญ่ทาวเวอร์สามชั้นรวมน้ำหนักถึง 2 กิโลกรัม ทางร้านจะตีกลองพร้อมเสิร์ฟถึงโต๊ะ อลังการสุดๆ




อิ่มแล้วจึงเลือกซื้อของฝากที่เคยเล็งไว้ในจุดพักรถอีกฝั่งตั้งแต่วันแรก แต่หลายอย่างมีแค่ที่ Kurukuru Naruto เท่านั้น เช่น ซุดปรุงซุปดาชิ ซุปมันเทศ ปลาเส้นสอดไส้เลมอนซาโตะอุจิ โดรายากิมันเทศนารูโตะ ฯลฯ ชอปเสร็จจัดซอฟต์ครีมที่มีความหวานแบบยุคเอโดะ คือหวานนุ่มด้วยน้ำตาล Wasanbon ที่มีแต่เกาะชิโกกุเท่านั้น

จากนั้นเดินทางจากสนามบินคันไซกลับประเทศไทยอย่างปลอดภัย แต่หัวใจยังทิ้งไว้ที่โทคุชิมะอยู่เลย!

[Advertorial] 



แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ