"หรั่ง พระนคร" ที่สุดของที่สุดอดีตนักโทษกลับใจ ปฏิเสธเงิน 10 ล้าน และโอกาสเข้าวงการบันเทิง

Home » "หรั่ง พระนคร" ที่สุดของที่สุดอดีตนักโทษกลับใจ ปฏิเสธเงิน 10 ล้าน และโอกาสเข้าวงการบันเทิง
"หรั่ง พระนคร" ที่สุดของที่สุดอดีตนักโทษกลับใจ ปฏิเสธเงิน 10 ล้าน และโอกาสเข้าวงการบันเทิง

หรั่ง พระนคร อดีตขาใหญ่ในเรือนจำ ที่สุดของที่สุดนักโทษกลับใจ ไปได้สวยการเป็นช่างทำกีต้าร์มือทอง ศิลปินชื่อดังแห่งจอง เมืองนอกยอมรับ กล้าปฏิเสธเงิน 10 ล้านบาท และโอกาสเข้าวงการบันเทิง ด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วต้องยกนิ้วให้

“ผมติดคุกทั้งหมด 9 ครั้ง สถานพินิจ 7 ครั้ง และเรือนจำ 2 ครั้ง 8 ครั้งเนี่ยเป็นคดียาเสพติด ครอบครองบ้าง เสพบ้าง ครั้งสุดท้ายผมโดนคดีชิงทรัพย์ ไปฉกชิงวิ่งราวเขา ศาลตัดสิน 10 ปี ต้นเรื่องมาจากการที่ไม่มีเงินซื้อยาเสพติด”

อัครินทร์ ปูรี หรือ หรั่ง พระนคร ฉายอดีตให้ Sanook.com ฟังเหมือนที่ตีแพร่ให้สาธารณชนรับรู้ผ่านสื่อหลายเจ้า เป็นระยะๆ นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ปี พ.ศ.2555

“ในเรือนจำมีระบบขาเล็กขาใหญ่ มีการแก่งแย่งชิงดี มีผลประโยชน์ด้านมืด ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด ผลประโยชน์การพนัน การกินอยู่ การรับคน”

จากเด็กติดยาถลำลึก ถูกจับไปจองจำ อัพสกิลขึ้นไปเป็นขาใหญ่ พ่อบ้านพระนคร จนได้สมญานาม “หรั่ง พระนคร” เพราะไม่อยากถูกรังแก และถูกเอาเปรียบ

ทุกวันคิดแค่จะนำยาเสพติดเข้าอย่างไร เอาเงินที่ไหนเลี้ยงดูบริวารนับพัน ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่มีชั้น แม้แต่เจ้าตัวยังคิดว่าชาตินี้คงต้องตายในคุก ก่อนก้าวข้ามผ่านจุดต่ำสุดในชีวิต จนมาสู่นักสร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนนักโทษ จนได้รับการยกย่อง “ที่สุดของที่สุดอดีตนักโทษกลับใจ”

“ภาพลักษณ์ข้างนอก คนจะมอง เฮ้ยหรั่งมันขาใหญ่มันเท่มันเฟี้ยว แต่ข้างในเราเนี่ยกลัว และรู้สึกว้าเหว่ มันไม่มีใครเป็นขาใหญ่ ไม่มีใครเก่งตลอดถูกไหมฮะ วันนึงเนี่ยเราก็ต้องถูกทำร้าย สุดท้ายเนี่ยเราจะต้องตายในคุก หรือไม่ก็พิการ”

“พี่สาวมาเยี่ยมจุดประกายในใจผม ถ้าเกิดผมต้องการอะไรจริงๆ ให้ลองไปอธิษฐานขอกับพระเจ้าดู เรามาตอบตัวเองจริงๆ แล้วเราต้องการอยู่โลกภายนอก เราไม่อยากเป็นขาใหญ่บ้าบออะไรในคุกหรอก หลังอธิษฐานกับพระเจ้า เกิดอัศจรรย์ ผมได้รับพระราชทานอภัยโทษ มันก็ทำให้ผมเกิดศรัทธา เห็นคุณค่าของตัวเอง”

9 ปี นับตั้งแต่ก้าวออกมาจากประตูเรือนจำ หรั่ง ประสบความสำเร็จสวยงามกับอาชีพช่างทำกีต้าร์ แบรนด์ “หรั่ง พระนคร” ศิลปินชื่อดังแห่จอง เมืองนอกยอมรับฝีมือ

“ผมน่าจะโชคดี คือออกมาได้เดือนนึงปุ๊บเนี่ย ผมมีโอกาสได้ทำอาชีพช่างทำกีต้าร์เลย มีอาจารย์ท่านหนึ่งชื่อครูแหลมเนี่ย เขาสนใจอยากจะสอน อดีตนักโทษให้มีอาชีพ ตรงนี้มันก็เลยได้ไปเรียนอยู่กับเขา ที่มูลนิธิคริสเตียน”

“เขาไม่ได้สอนแค่กีต้าร์ เขาสอนเรื่องการใช้ชีวิตแบบคนปกติ ให้กำลังใจผม และผมมีโอกาสวิ่งไปหาอาจารย์ข้างนอก ที่เป็นช่างทำกีต้าร์ ทุกคนทำเป็นอาชีพหมดเลย มันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจ มาสร้างอาชีพเอง”

“ผมใช้ชื่อแบรนด์ หรั่ง พระนคร ความพิเศษของผม คือ หนึ่งเลยนะลูกค้าสั่งทำได้ สองกีต้าร์เป็นไม้ออโซลิค หมายความว่า ไม้แท้ทั้งตัวเลย ที่ถ้าเกิดลูกค้าจะไปซื้อแบรนด์ชั้่นนำ ราคา 3 หมื่น 4 หมื่นบาทซื้อไม่ได้ ต้องมีหลักแสนบาท”

“ของผมที่ลูกค้าได้ หนึ่งเลยได้วัตถุดิบที่เท่ากับแบรนด์แต่ราคาที่ถูก สามารถใส่ลายเซ็นของตัวเองได้ สั่งซิกเนเจอร์ของตัวเองได้ มันคือกีต้าร์สั่งทำ เขาเรียกว่างาน Custom Made”

“ลูกค้าของผมนะ ถ้าเป็นศิลปินก็จะมี พี่ปุ๊ อัญชลี คือ คนแรกที่ซื้อผม แล้วเขาก็ให้กำลังใจผมว่าผมสามารถจะประสบความสำเร็จในชีวิตในเรื่องของกีต้าร์ได้ หลังจากนั้นมาก็จะเป็น พี่บอม สินเจริญ ดีเจต๊ะ พิภู คุณแทค ภรัณยู”

“ออเดอร์ที่รออยู่ก็มี พี่โบ ไทรอัมพ์ส คิงดอม และชิน ชินวุฒิ และก็มีอีกหลายคนจริงๆ แล้วมันใช้เวลาทำประมาณเดือนนึง กีต้าร์ 1 ตัว แต่เวลาคนสั่งมันต้องต่อคิว บางคนรอถึง 3 ปีเลย เพราะว่าเขาอยากได้ของๆ เรา ผมขายไปทั้งประเทศอเมริกา ฮ่องกง ออสเตรเลีย นอร์เวย์ และก็เยอรมัน”

หรั่ง บอกต่อว่า หลักการทำงานของเขาคือ “ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่เอาเปรียบลูกค้า” ซึ่งเขาเชื่้อว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จกับการเป็นช่างกีต้าร์ จากอดีตนักโทษ กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“ตอนนี้จุดของกีต้าร์ผมก็ถือว่า เลี้ยงดูทั้งครอบครัว เลี้ยงดูทั้งลูก ความสำเร็จในการทำกีต้าร์ผมมี 2 อย่างเน้นๆ เลย คือผมมาจากคนชั่วเลยฮะ เล่ห์เหลี่ยมฉ้อฉล อบายมุข หักเหลี่ยม ผมมีหมด งั้นความซื่อสัตย์มันหายาก”

“สิ่งหนึ่งที่จะต้องมีในหน้าที่การงาน คือ ความซื่อสัตย์ สองมันต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร คือเราต้องใจใหญ่มากพอที่จะไม่คิดแต่ผลประโยชน์กำไร อย่างเช่น กีต้าร์ตัวนึงลูกค้าผมทำไปเสร็จแล้วเขาไม่พอใจ ผมทำตัวใหม่ให้เลย”

“บางคนอยากผ่อนผมเนี่ย ผมให้ผ่อนแล้วเขาก็หนีหายไปผมไม่เคยแจ้งความไปเลย ผมคิดว่าวันนี้เราอาจจะถูกกระทำแบบนี้ แต่วันนึงพระเจ้าเห็นพระเจ้าจะอวยพรผม”

“มีช่างทำกีต้าร์คนหนึ่งโทรหาผม ทำไมหรั่งยังขายกีต้าร์ตัว 3 หมื่น 5 พันบาท ถ้าเป็นเขานะ เขาผ่านรายการทีวี ทำให้มูลค่าเขาแพงขึ้นได้ ผมบอกเอาเลยครับพี่ ผมรู้ฝีมือผม ผมทำในราคา 3 หมื่น 5 พันบาท ฝีมือผมได้แค่นี้”

“ผมเชื่้อว่าความซื่อสัตย์ของผมจะทำให้ผมมีออเดอร์ และลูกค้ายอมรับ พี่ครับคนมาซื้อกีต้าร์พี่ราคา 3 หมื่น 4 หมื่นบาท พี่คิดว่าเขาโง่ไหม เขาไม่โง่นะจะมาจ่ายตังค์ 3 หมื่น 4 หมื่นบาท พี่จะไม่ศึกษาอะไรเลยเหรอ เขารู้สึกว่ามันคุ้มค่า” เขาไม่ได้ถูกหลอก เขาเชื่อใจเราเขาก็ซื้อ”

“ผมเคยมีลูกค้าคนนึงนะสั่งผมไป 1 ตัว เสร็จแล้วก็กลับมาสั่งผมอีก 1 ตัว แล้วตอนนี้สั่งผมอีกคนเดียว 4 ตัว ผมกินเงินเขาเกือบ 2 แสนแล้ว เพราะว่าเขาชอบความที่เราตรงไปตรงมาซื่อสัตย์ และเรารับผิดชอบ ผมคิดว่าถ้าเราไม่เอาเปรียบลูกค้า หน้าที่การงานของเรามันจะค่อยๆ โตขึ้น”

“เงินเนี่ยผมก็อยากได้ แต่ทุกสิ่งที่ผมทำเนี่ยมันต้องมาจากความถูกต้อง กีต้าร์ตัวนึง ผมบอกให้ เนี่ยเห็นผมพูดแบบนี้ใช่ไหม ผมใช้ลีลาในการพูด ผมสร้างมูลค่าได้ตัว 6 หมื่น 7 หมื่น ผมทำได้แล้ว แต่มันหลอกลวงเขา”

“ผมถามว่าทำอาชีพสุจริตเยอะแยะไป แต่เวลาคุณขายของเนี่ย มันสุจริตจริงไหม คุณโกหกเขาไหม คุณพูดจาโอเว่อร์ไหม เพื่อจะได้เงินจากกระเป๋าเขา มันไม่ภูมิใจ คำว่ารวย หรือมีเงินมาก ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุข แต่การที่ผมทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเนี่ย ผมมีความสุข”

“ผมทำจิตอาสาด้วย ผมกับภรรยาตกลงกันว่าเราจะแบ่งเงินของเรา ในการช่วยเหลือเพื่อนนักโทษ เพื่อจะช่วยสร้างอาชีพให้เขาและเป็นกำลังใจให้เขา สามารถกลับเนื้อกลับตัวได้เหมือนกัน อยากจะบอกเขาว่าการที่เรามีชีวิตที่ดีขึ้น อยู่ในสังคมได้ คนยอมรับ มันดูแล้วมันเท่กว่าการที่แบบเป็นคนเกเร ผมอยากเห็นพวกเขาเนี่ยมีชีวิตที่ดี”

ในการพูดคุยครั้งนี้ หรั่ง บอกด้วยว่า ที่ผ่านมา เคยมีผู้สร้างภาพยนตร์ ติดต่อขอซื้อเรื่องราวของเขาไปสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยยื่นข้อเสนอเป็นเงิน 10 ล้านบาท แต่เขาได้ปฏิเสธไป เพราะไม่เห็นด้วยกับทีมงานที่ต้องการนำเสนอแต่มุมมืด สุ่มเสี่ยงสร้างแรงกระตุ้นให้เกิด “ผู้ร้ายคนใหม่”

“มีคนจะเอาชีวิตผมไปทำหนัง แต่ว่า เขาจะขายแต่ความรุนแรง จะให้ผมเล่าเรื่องในเรือนจำทะเลาะวิวาทต่อยตี เขายื่นข้อเสนอเงิน 10 กว่าล้านเลยนะ ผมบอกไม่เอา หนังเนี่ยจบออกมาไม่มีสาระ ทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจกลับตัวได้ มันไม่มีค่าอะไร”

“จะ 10 ล้าน 20 ล้าน 30 ล้าน ผมไม่ได้รู้สึกอยากได้อยากมี ผมอยู่ในคุกมาชีวิตผมต้องตายในคุกแล้ว เงินพวกนี้ไม่ได้มีความหมายกับผม เดี๋ยวนี้โลกโซเชียลน่ากลัวมาก สิ่งที่เราพูดสิ่งเรานำเสนอมันไม่ได้ทุกมุม”

“ผมเนี่ยเป็นขาใหญ่ในคุก ผมเคยไล่แทงคนในคุก ผมเคยทำร้ายคนในคุก ไปถามดูได้ แต่ว่ามันไม่จำเป็นต้องมาพูดถูกไหม มันไม่ใช่สิ่งที่ดี การที่กลับเนื้อกลับตัวอยู่ในโลกภายนอกมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ให้คนยอมรับเราในข้างดีมันยั่งยืน การมีอาชีพการงาน การช่วยเหลือสังคม”

“การที่เรา ดูอะไรที่มันรู้สึกว่าทำให้เราอยากจะเป็น อยากจะเท่ในด้านสีดำเนี่ย ผมว่ามันไม่จริงนะ มันกำลังจะสร้างผู้ร้ายคนใหม่ ถ้าคุณพลาดเข้าไปอยู่ในเรือนจำเนี่ย คุณจะต้องรับผลอะไรอีกมากมาย ทั้งเสียเวลา เสียครอบครัว เสียคุณภาพชีวิต เสียจิตวิญญาณ”

นอกจากนี้ หรั่ง ยังเคยได้รับการทาบทามให้ไปเป็นนักแสดง เล่นละคร อีกทั้งมีรายการเกมโชว์ติดต่อ เชิญไปร่วมรายการนับไม่ถ้วน แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสแจ้งเกิดในวงการบันเทิง

“ผมเลือกที่จะไม่ไป เพราะว่าผมไม่ใช่ดารา มันไม่ใช่ทางผม คือ ผมเป็นอดีตนักโทษ ผู้สร้างแรงบันดาลใจ ทำกีต้าร์ ผมไม่ได้หลงในชื่อเสียงพวกนี้ เขาเรียกว่าของหลอกลวง มันอยู่กับเราไม่นานหรอก แป๊บๆ มันก็จากเราไป” หรั่งบอกเหตุผล

หรั่ง ยอมรับว่า ความภูมิใจสูงสุดในชีวิต คือการประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่คนรอบข้างเชื่อว่าคุณไม่มีวันทำได้ แต่นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ กลับคืนสู่สังคม มาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 9 ปี แล้ว เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว

คนเราถ้ามุ่งมั่นตั้งใจทำอะไรแล้ว ย่อมพบกับความสำเร็จ ได้พบกับสิ่งที่ดีตามที่ใจปราถนาได้ และที่สำคัญที่สุด คือ “เชื่อว่าไม่มีใครเลวโดยสันดาน” ผู้ต้องขังทุกคนสามารถกลับตัวกลับใจ กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้

“ผมออกมาในช่วงปี 2555 ตอนออกเจาะใจ ครั้งแรกที่คนรู้จักผมเลยเนี่ย คือ ใน 100 เปอร์เซ็นต์ คนชมผม 50 เปอร์เซ็นต์ และก็มีคนด่าผมแบบไม่มีชิ้นดี ด่าแบบยิ่งกว่าหมาอีก ไอ้ขี้คุก ติดคุกมา 9 รอบ ควรตายตั้งแต่ในคุกไปแล้ว ไม่ควรออกมาสู่โลกภายนอก ในตอนนั้นผมรู้สึกโหยว่าผมไม่มีชิ้นดีเลย

“คำพูดนั้นน่ะ ผมขอบคุณเขาด้วยนะผมไม่ได้โต้ตอบ แต่ผมมีหน้าที่พูดอย่างเดียวว่า ใช่เราต้องพิสูจน์ให้เขาเพื่อทำชีวิต ทำอาชีพ การงานให้มันได้จริงๆ ไอ้ตรงนี้ยากมากฮะ ขณะที่เราออกมาปุ๊บ มันเหมือนกับผีมามันก็จะรู้ สิ่งยั่วยุมันเข้ามาหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงเพื่อน กลุ่มคนที่เป็นพ่อค้ายา”

“แล้ววันนึงเราต้องมานั่งทำกีต้าร์ในช่วงแรกๆ ที่ยังที่คนยังไม่ยอมรับเรา แล้วผมต้องกินข้าวกับมาม่า และไข่ต้มในโลกข้างนอก ทั้งที่อีกมุมนึงผมแค่ยกหูหาเพื่อนที่เป็นพ่อค้ายา เรายืมเงินเขาได้เลยหมื่นสองหมื่น เขาให้เราแน่นอน แต่เราสู้กับตัวเองว่า จะเอายังไงอะ จะขอเงินกลุ่มพวกนี้ หรือจะทำอาชีพสุจริตแล้วสู้กับมันต่อไป”

“ผมเลือกที่จะไม่ยืมเงินเพื่อน เชื่อว่าเราจะต้องมีชีวิตที่ดีได้นะ และผมจะต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้วผมก็สู้กับมัน หลังจากวันนั้นมามันก็ค่อยๆ ดีขึ้น คือความสำเร็จที่สุดของผมเลยนะฮะ เมื่อก่อนช่วงทำกีต้าร์แรกๆ เขารู้ว่าผมเป็นอดีตนักโทษ มันมีความรู้สึกกึ่งดูถูกว่า โธ่อดีตนักโทษ มันจะมีสกิลทำกีต้าร์ เสียงดีๆ ให้คนยอมรับได้อย่างไร แต่วันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า วันนี้คนยอมรับเราทำได้”

“วันนี้ของผมเป็นยังไง เป็นวันที่ผมมีความสุขมาก ผมเนี่ยต่อหน้ากล้องหรือลับหลังเนี่ย ผมคือหรั่งคนนี้ ไม่ใช่ต่อหน้ากล้องแล้วผมคุยให้ดูดี แล้วลับหลังผมเป็นอีกคนนึง การดำเนินชีวิตแบบจริง มันทำให้ผมมีความสุข ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ