สงครามซูดาน ยูเอ็นคอตกดีลหยุดยิงล้ม-พลเรือนตายเจ็บพุ่งแตะพัน
สงครามซูดาน – วันที่ 17 เม.ย. เอเอฟพีรายงานความคืบหน้าการสู้รบในประเทศซูดาน ชาติทางภาคเหนือของทวีปแอฟริกา ระหว่างกองทัพซูดานที่กุมอำนาจบริหารประเทศกับกองกำลังสนับสนุนเร็ว หรืออาร์เอสเอฟ ที่มีกำลังพลกว่า 1 แสนนาย ว่ามียอดพลเรือนเสียชีวิตเกือบ 100 ราย บาดเจ็บเกือบ 1 พันคนแล้ว ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประชาคมโลกให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบ
นายโวลเกอร์ เปอร์เธส ผู้แทนพิเศษจากสหประชาชาติ หรือยูเอ็น กล่าวแสดงความผิดหวังต่อความล้มเหลวของทั้งกองทัพซูดานและอาร์เอสเอฟที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวเพื่อเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หลังผู้นำของทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงกับยูเอ็นแต่การสู้รบกลับไม่ยุติ
การสู้รบดังกล่าวเกิดขึ้นหลังกองทัพซูดานและอาร์เอสเอฟไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้กรณีที่กองทัพต้องการให้อาร์เอสเอฟสลายตัวแล้วรวมเข้ามาเป็นหน่วยทหารภายใต้กองทัพตามแผนแม่บทการพาชาติสู่ระบอบประชาธิปไตย หลังกองทัพและอาร์เอสเอฟร่วมมือกันก่อรัฐประหารเมื่อปี 2562 โค่นล้มอดีตประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาเชียร์ เผด็จการที่ครองอำนาจมาเกือบ 30 ปี
การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายดำเนินไปอย่างดุเดือดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรุงคาร์ทูม มีตั้งแต่การยิงปะทะกันของทหารปืนเล็กไปจนถึงอาวุธหนักอย่างปืนใหญ่ รถหุ้มเกราะ รถถัง และการเปิดฉากโจมตีทางอากาศ
ทั้งพลเอกอับเดล ฟัตทาห์ อัล-บุราน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและประมุขสภาปกครองซูดาน และพลเอกโมฮาเหม็ด ฮัมดาน ดาโกล ผบ.อาร์เอสเอฟ และรองประมุขสภาปกครองซูดานไม่มีทีท่าจะอ่อนข้อให้อีกฝ่าย ท่ามกลางความแตกตื่นและความเดือดดาลของประชาชนชาวซูดานต่อสงครามแย่งชิงอำนาจที่กำลังเกิดขึ้น
คณะกรรมาธิการกลางแพทย์ซูดาน ระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิตจากการปะทะแล้วอย่างน้อย 97 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 942 คน ยังไม่รวมทหารที่เสียชีวิตของทั้งกองทัพซูดานและอาร์เอสเอฟที่กลาดเกลื่อนอยู่ทั่วสนามรบ รวมถึงยังไม่รวมยอดผู้บาดเจ็บเสียชีวิตพลเรือนในอีกหลายพื้นที่ เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า โรงพยาบาลหลายแห่งจากทั้งหมดที่มีเพียง 9 แห่ง ที่กรุงคาร์ทูม ขาดแคลนเลือดและเวชภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นในการช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บ
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของโครงการอาหารโลก (WFP) ภายใต้สหประชาชาติ หรือยูเอ็น ถูกลูกหลงเสียชีวิต 3 ราย ที่แคว้นดาร์ฟูร์ ทำให้ยูเอ็นสั่งระงับภารกิจช่วยเหลือทั้งหมดชั่วคราว แม้จะทราบดีว่าชาวซูดานกว่า 1 ใน 3 ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากประชาคมโลกเพื่อเอาชีวิตรอด