“ศิธา” เปรียบ เลือกนายกฯ เหมือนท่องนะโม 3 จบ ชี้ สว. คือคนกุมกุญแจทำเนียบ ส.ส.ที่ประชาชนเลือกเข้าไปไร้ความหมาย
น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคไทยสร้างไทย แคนดิเดทนายกระฐมนตรีพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงถึงการโหวตนายกฯ ในวันนี้ ว่าควรมีธงตามที่ตกลงกันไว้อยู่แล้ว ถึงแม้มีการอภิปรายกันแต่ก็คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง น่าจะมีการโหวตประมาณ 17.00 น.
ส่วนท่าทีของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย นั้นเนื่องจากคุณหญิงไม่ค่อยสบายตอนแรกมีการลังเลว่าจะมาโหวตนายกระฐมนตรีเองหรือไม่ แต่ได้ทำการเลื่อนหมอมาหลายครั้ง จนลื่อนไม่ได้ ต้องเข้ารักษาตัว จึงลาออกและให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน ตอนแรกมีความกังวลว่าราชกิจจาฯ จะออกไม่ทันแล้วเสียงโหวตจะหาย เมื่อฟื้นจากการรักษาตัวก็ถามว่าราชกิจจาฯ ออกมาหรือยัง ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว
น.ต. ศิธากล่าวต่อ ว่า กระบวนการประชาธิปไตยตามปกติจบสิ้นไปแล้ว ประชาชน 39 ล้านคน ได้ลงคะแนนเสียงแล้ว แต่กระบวนการเลือกนายกไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติเพราะมีกระบวนการฝัง สว. ไว้ในรัฐธรรมนูญ เหมือนกับการทำสัญญาอะไรสักอย่างของชาวบ้าน เวลาเอาที่ดินไปจำนอง แต่ดูกฎหมายไม่ดี ตอนโหวตรัฐธรรมนูญ ตอนนี้เป็นนิติสงครามที่เกิดขึ้นถ้ายึดตามรัฐธรรมนูญก็จะเห็นได้ว่ากำหนดไว้เป็นแบบนี้ กลไกทำให้การเลือกตั้งเป็นแบบนี้ จะเห็นได้ว่า 39 ล้านเสียงจะเป็นการเลือก ส.ส. เข้าไป แต่การเลือกนายกรัฐมนตรีที่มี สว. 250 คนครั้งหนึ่งเคยมีพรรคการเมืองที่ได้ 377 เสียง แต่ก็โดนกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา แสดงให้เห็นว่าคนที่กุมกุญแจทำเนียบคือ สว. ว่าจะให้ใครเข้า ดังนั้นการที่ประชาชนเลือก ส.ส. เข้าไปจึงไม่มีความหมายในการเลือกนายก
น.ต.ศิธา ระบุว่า การที่ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลมาจับมือกันเป็นจิ๊กซอว์ในการเสนอนายก จุดยืนของตนคือ ไม่ว่าจะเลือกประธานสภา หรือนายกรัฐมนตรี แค่สองพรรคตกลงกันได้ก็พร้อมโหวตให้อยู่แล้ว ไม่ได้ระบุว่าจะเป็นใคร เพราะสองพรรคมีคะแนนเสียงที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยมีการเสนอ 3 แคนดิเดทก็ต้องอยู่ที่ ส.ว. อีกว่าจะตกลงหรือไม่ ถ้าไม่ตกลงก็จะเกิดกระบวนการที่สาม ที่อาจจะมีการหยิบพรรคใดพรรคหนึ่งออกและเอาพรรคอื่นเข้ามาในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะมีความวุ่นวายและจะเป็นไปจนกว่า สว. จะพึงพอใจ
“ตรงนี้ผมเรียกว่า เหมือนวิธีทำการท่องนะโมสามจบ จบแรกเป็นแปดพรรคร่วมเสนอพิธา จบที่สองเป็น 8 พรรคร่วมเสนอพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้ามีการจบที่สามจะกลายเป็นว่าจะมีการหยิบพรรคใดพรรคหนึ่งออก ตนมองว่าถ้าเป็นแบบนี้ขั้วอำนาจเดิมที่มาจากการยึดอำนาจ จะเข้ามายุ่งเหยิงกับประชาธิปไตย และการแก้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งองค์กรอิสระก็จะวุ่นวายอีกยาวนาน ถ้าเราเล่นตามเกมว่าจะดึงพรรคใดพรรคหนึ่งออกก็จะทำให้การสืบทอดอำนาจยาวนานไปอีก” น.ต.ศิธา กล่าว
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า สว. จะปิดสวิตซ์ สว. เอง น.ต. ศิธาระบุว่า ต้องแยกว่าการปิดสวิตซ์คืออะไร ตามรัฐธรรมนูญปกติให้สิทธิแค่ ส.ส. 500 คน เมื่อมีการนำ สว. เข้ามาเป็น 750 คน ดังนั้นการปิดสวิตซ์โดยบอกว่าไม่ออกเสียง ไม่ได้ทำให้ตัวเลขกึ่งหนึ่งลดลง ทำไมถึงไม่เสนอว่า สว. ไม่ต้องโหวตเพื่อทำให้ตัวเลขกลับมาอยู่ที่ 500 หรือโหวตตามเสียง ส.ส. ข้างมากในสภา หรือลาออกแบบที่ ส.ว. ท่านนึงได้ลาออก นั่นคือการปิดสวิตซ์ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการปิดสวิตช์แต่เป็นการพูดเพื่อลดแรงเสียดทานจากประชาชน
ส่วนการพยายามพูดถึงกฎหมายมาตรา 112 น.ต.ศิธา ระบุว่า การขยี้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อใครเลย ทั้งประเทศชาติและสถาบันหลักของชาติ เพราะฉะนั้นควรถอยการอภิปรายเรื่องนี้ และควรแยกแยะว่าอำนาจอธิปไตย มีบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ การแก้ไขมาตรา 112 เป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้นไม่ควรใช้ข้ออ้างต่างๆ นาๆ ในการจะไม่โหวตให้นายพิธา
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ว่าจะมีการลาออกของ ส.ส. เพื่อให้นายศิธา ได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. นั้น น.ต. ศิธากล่าวว่า ไม่ได้มีความคิดและไม่ใช่นิสัยของตนเอง ที่จะให้ใครมาลาออก เพื่อให้ตนเองได้ตำแหน่ง ตนเองไม่ได้มีส่วนใตการกำหนดบัญชีรายชื่อ ส.ส. ของพรรค ถ้าจะให้ใครมาลาออกเพื่อตนเอง ก็ไม่เห็นด้วย