การจัดงานรำลึก 12 ปี 10 เมษายน ก่อผลสะเทือนในทางการเมืองลึกซึ้ง
ไม่เพียงแต่ทำให้เห็นว่า กรณีการล้อมปราบอันเหี้ยมโหดของอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นความต่อเนื่องจากการเมืองเรื่องรัฐประหาร
โดยมูลฐานคือ รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
ขณะเดียวกัน ก็ยังแสดงถึงความต่อเนื่อง แห่งกลไกแห่งอำนาจอันก่อให้เกิดรัฐประหารซ้ำอีกในเดือนพฤษภาคม 2557
เป้าหมายเพื่อไม่ต้องการให้ “เสียของ” และกระชับ “อำนาจ”
เหมือนกับการบริหารจัดการต่อ 10 เมษายนเป็นเรื่องของ “รัฐบาล” ในขณะนั้น
นั่นก็คือ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย โดยการค้ำยันของกลไกแห่งอำนาจที่สัมพันธ์อยู่กับรัฐประหารเดือนกันยายน 2549
โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ลองพลิกรายชื่อของทหารที่กุมกลไกแห่ง“ศอฉ.” ก็จะเห็นว่าบรรดาผู้กุมอำนาจอยู่ในปัจจุบันไม่ว่านายกรัฐมนตรี ไม่ว่ารัฐมนตรีสำคัญ
ล้วนมีบทบาทในสถานการณ์ 10 เมษายน 2553 ทั้งสิ้น
การจัดงานรำลึกถึงสถานการณ์ล้อมปราบ เมื่อ 10 เมษายน จึงมีความสำคัญ
ทั้งหมดจะฉายสะท้อนให้เห็นคำตอบว่าเหตุใด การค้นหาผู้ที่ลั่นกระสุนสังหารประชาชนจากเหตุการณ์ เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 จึงไม่คืบหน้า
และทำไมจึงได้เกิดรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
และทำไมคณะรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จึงต้องการการสืบทอดอำนาจต่อไปอย่างยาวนานอย่างน้อยก็ 20 ปี
นี่คือความเป็นจริงที่จะต้องเข้าใจและ มีคำตอบ
แม้ว่าบทบาทของ “คนเสื้อแดง” ในนามแห่ง “นปช.”จะค่อยลดและโรยราเป็นลำดับ
แต่ก็น่ายินดีที่อย่างน้อยการดำรงอยู่ของ นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็สามารถเชื่อมประสานกับบทบาทของคนรุ่นใหม่ไม่ว่าราษฎร ไม่ว่าทะลุฟ้าได้อย่างมีความเข้าใจ
นี่คือการเชื่อมอดีตเข้ากับปัจจุบันและ เดินหน้าไปสู่อนาคต