วิธีสังเกต "กาแฟผสมยาอี" อันตรายถึงชีวิต

Home » วิธีสังเกต "กาแฟผสมยาอี" อันตรายถึงชีวิต
วิธีสังเกต "กาแฟผสมยาอี" อันตรายถึงชีวิต

ยาอีโฉมใหม่ ในซองกาแฟ เตือนผู้ปกครองหมั่นติดตามข่าวสารพร้อมสังเกตพฤติกรรมบุตรหลาน 

สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ เตือนปัจจุบันมีการลักลอบนำยาอีบรรจุในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทำให้สังเกตได้ยากขึ้น แนะผู้ปกครองหมั่นติดตามข่าวสารพร้อมสังเกตพฤติกรรมของบุตรหลาน หากพบสิ่งของต้องสงสัยรีบพูดคุยด้วยเหตุผลถึงผลเสียต่อสุขภาพและรีบพาไปพบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา

ยาอี อันตรายอย่างไร

นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี (Ecstasy) เป็นยาเสพติดตัวเดียวกัน มีฤทธิ์หลอนประสาทและกระตุ้นประสาท จะแตกต่างกันบ้างในด้านโครงสร้างทางเคมี มีทั้งที่เป็นแคปซูลและเป็นเม็ดยาสีต่างๆ แต่ที่พบในประเทศไทย ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ดกลมแบนและมีสัญลักษณ์บนเม็ดยาเป็นรูปต่างๆ เช่น กระต่าย ค้างคาว นก ดวงอาทิตย์ เป็นต้น 

วิธีสังเกต “กาแฟผสมยาอี” อันตรายถึงชีวิต

ในปัจจุบันมีการลักลอบนำยาอีบดเป็นผงบรรจุลงในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ซองครีมเทียม ซองกาแฟ 3in1โดยพบแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นทาง Social Media (สื่อสังคมออนไลน์) เมื่อเสพยาอีเข้าสู่ร่างกายจะออกฤทธิ์ภายในเวลา 30-45 นาที และฤทธิ์ของยาจะอยู่ในร่างกายได้นานประมาณ 6-8 ชั่วโมง 

ยาอีออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นจะหลอนประสาทอย่างรุนแรง อาการที่สามารถสังเกตได้หลังดื่มกาแฟผสมยาอี คือ

  1. รู้สึกร้อน เหงื่อออกมาก 
  2. หัวใจเต้นเร็ว 
  3. ความดันโลหิตสูง 
  4. การได้ยินเสียง และการมองเห็นแสงสีต่างๆ ผิดไปจากความเป็นจริง
  5. เคลิบเคลิ้ม 
  6. รู้สึกตื่นตัวตลอดเวลาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ 

ยาอี เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

นายแพทย์สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กล่าวเพิ่มเติมว่า ยาอี จะเข้าไปทำลายระบบประสาททำให้เซลล์สมองส่วนที่ทำหน้าที่หลั่งสารซีโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการควบคุมอารมณ์ทำงานผิดปกติ โดยจะหลั่งสารนี้ออกมามากกว่าปกติทำให้สดชื่น อารมณ์ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปสารดังกล่าวจะลดน้อยลง ทำให้ผู้เสพเข้าสู่สภาวะอารมณ์เศร้าหมองหดหู่ เกิดอาการซึมเศร้า และอาจกลายเป็นโรคจิตประเภทซึมเศร้า (Depression) มีแนวโน้มการฆ่าตัวตายสูงกว่าคนปกติ 

นอกจากนี้การที่สารซีโรโทนินลดลง จะทำให้การนอนหลับผิดปกติ เวลาการนอนลดลง หลับไม่สนิท อ่อนเพลียขาดสมาธิในการเรียนและทำงาน บางรายนิยมเสพพร้อมกับดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพยาชนิดอื่นร่วมด้วย อาจทำให้เกิดอาการช็อกและเสียชีวิตได้

เลือกซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์จากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อเท่านั้น 

การลักลอบนำยาอีบรรจุลงในผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาจทำให้ตรวจสอบได้ยากขึ้น แนะผู้ปกครอง

หมั่นติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆ พร้อมสังเกตพฤติกรรมของบุตรหลาน หากพบมีพฤติกรรมเสี่ยงและพบสิ่งต้องสงสัย ควรพูดคุยด้วยเหตุผลไม่ใช้ความรุนแรง บอกกล่าวถึงผลเสียต่อสุขภาพรวมถึงอันตรายที่จะตามมา และรีบพาไปพบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา

สามารถขอรับคำปรึกษาเรื่องยาและสารเสพติดได้ที่ สายด่วนยาเสพติด 1165 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pmnidat.go.th หรือเข้ารับการบำบัดรักษายาเสพติดได้ที่ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กรมการแพทย์ จังหวัดปทุมธานี และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา และปัตตานี 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ