สุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหาร เป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้ปกครองให้ความสำคัญเมื่อเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับบุตรหลาน เพราะการกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดสุขภาพของเด็กเมื่อพวกเขาไปโรงเรียน
อย่างไรก็ดี มีกรณีเรื่องราวของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในเมืองไถหนาน ไต้หวัน ที่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับสาธารณชน เมื่อผู้ปกครองยื่นฟ้องโรงเรียนเอกชน หลังจากลูกชายวัย 3 ขวบ เพิ่งเข้าเรียนที่โรงเรียนดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่เมื่อกลับมาบ้านก็มักจะบ่นว่าปวดท้องทุกวัน ก่อนตรวจพบสัญญาณสุขภาพที่ผิดปกติ
โดยผู้ปกครองเล่าว่า คืนหนึ่งอาการของลูกชายแย่ลง จนครอบครัวพาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ตรวจและสงสัยว่ามีปัญหาทางเดินอาหาร เนื่องจากการกินอาหารที่หมดอายุหรือค้างนาน
ด้วยความสงสัยในเรื่องนี้ คุณแม่จึงขอให้ครูในโรงเรียนถ่ายรูปเมนูอาหารส่งมาให้ดู ก่อนพบว่าเด็กๆ ก่อนวัยเรียนต้องกินกล้วยที่เปลือกกลายเป็นสีดำสนิท และสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เธอบังเอิญพบว่าบางครั้งเด็กๆ ได้ทานอาหารที่มาจากของเหลือ เช่น ไส้กรอกหรือเค้กข้าวที่เหลือจากวันศุกร์ จะถูกแช่แข็งเพื่อมาแปรรูปเป็นอาหารในวันจันทร์
เมื่อได้รู้ความจริงทั้งหมดเธอก็โกรธมาก จัดการยื่นฟ้องและเปิดเผยเรื่องนี้ ทำให้ผู้ปกครองหลายคนออกมาร่วมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อหน่วยงาน พร้อมทั้งย้ายลูกไปยังสถาบันการศึกษาอื่น ซึ่งหลังจากนั้นทุกครอบครัวก็พบว่าลูกๆ ของพวกเขาไม่มีอาการปวดท้องหลังกลับจากโรงเรียนอีก
ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและกรมอนามัย ได้ลงพื้นที่โรงเรียนเอกชนต้นเรื่อง ผลการตรวจสอบพบว่าห้องครัวไม่เป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขอนามัย อีกทั้งเมนูสำหรับเด็กก็ไม่มีส่วนผสมทางโภชนาการเพียงพอตามที่กำหนด ซึ่งล่าสุดโรงเรียนถูกปรับเงินตามข้อกฎหมาย และถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการ
ทั้งนี้ รูปภาพมื้ออาหารของโรงเรียนอนุบาลดังกล่าว ยังได้ถูกเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากโลกออนไลน์