วิ่งข้ามประเทศสหรัฐอเมริกา ใส่หมวกสีแดงจางๆของร้านกุ้งบับบา กัมพ์ และไปสุดในทุกเส้นทางที่เลือก..
เราไม่ได้พูดถึง ฟอร์เรสท์ กัมพ์ หนึ่งในตัวละครที่ดีที่สุดเท่าที่โลกภาพยนตร์เคยมีมา แต่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริงกับหนุ่มชาวอังกฤษชื่อ ร็อบ โป๊ป
เขาเชื่อว่าสิ่งที่ ฟอร์เรสท์ กัมพ์ ได้ทำไว้ มันยังต้องการใครสักคนให้มาต่อยอด ซึ่งคนๆนั้นคือเขาเอง.. เขาจะทำในสิ่งที่ กัมพ์ ทำ แต่เป็นการทำมันในโลกแห่งความจริง
อะไรดลจิตดลใจให้เขาตามรอยได้อย่างบ้าคลั่งได้ขนาดนั้น? ติดตามได้ที่นี่
เริ่มต้นคล้ายๆกัมพ์
ในเรื่อง ฟอร์เรสท์ กัมพ์ นั้น พระเอกของเรื่องเป็นเด็กพิเศษ มีไอคิวน้อยกว่าคนปกติ นั่นจึงทำให้เขาได้รับการดูแลเหมือนไข่ในหิน และได้รับการสั่งสอนที่ดีจากผู้เป็นแม่เสมอ ฟอร์เรสท์ รักแม่มาก จนกระทั่งวันที่เขาเริ่มเติบโตขึ้นมาและแม่จากเขาไปแบบไม่มีวันกลับ ฟอร์เรสท์ จึงเริ่มทำอะไรที่มหัศจรรย์ต่างๆมากมาย ซึ่งจุดเริ่มต้นในการทำแต่ละสิ่งของเขานั้นไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าการ “อยากทำก็ทำเลย”.. เท่านั้นเอง
เรื่องนี้ดูจะมีความคล้ายกับ ร็อบ โป๊ป ชายหนุ่มจากเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ไม่มากก็น้อย อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับแม่ ซึ่งแน่นอนว่าความผูกพันระหว่างแม่ลูกนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาถูกยึดติดไปกับการดูแลแม่ที่บ้านเกิด และจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ก็มาจากวันที่แม่ของเขาล้มป่วย และจากไปอย่างไม่มีวันกลับ สุดท้ายแล้ว เขาจึงตระหนักถึงบางสิ่ง.. ถึงชีวิตที่ไม่มีแม่ต่อจากนี้
“ผมเป็นเด็กติดแม่มาตลอด อยู่กับแม่มาตลอดชีวิต พอมาถึงวันหนึ่งที่แม่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆผมต่อไปแล้ว แม่จากผมไปแบบไม่มีวันกลับ มันทำให้ผมนึกย้อนกลับไปก่อนที่แม่จะตาย แม่ฝากบางสิ่งเอาไว้ นั่นคือคำสอนที่บอกว่า เกิดมาทั้งทีต้องสร้างบางสิ่งบางอย่างไว้ให้โลกจดจำ จงทำสิ่งหนึ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้ และนั่นทำให้ผมคิดว่า ทำไมผมไม่ลองออกวิ่งดูล่ะ?” เขาให้สัมภาษณ์กับ Red Bull
เขาคิดจะวิ่ง แต่จะวิ่งไปไหนล่ะ? เขาไม่ใช่นักวิ่งมืออาชีพ แม้จะเคยเป็นนักวิ่งตัวโรงเรียนสมัยที่ยังเรียนอยู่ก็ตาม และเขาไม่ใช่คนที่จบมาราธอนได้บ่อยๆ แต่นี่คือชีวิต เขาจะเป็นเหมือน ฟอร์เรสท์ กัมพ์ ที่ไม่ต้องฝึกซ้อม ไม่ต้องเตรียมพร้อมอะไรเลยก่อนออกวิ่งระยะไกลไม่ได้ และ ร็อบ โป๊ป รู้ดี
เขาเริ่มสมัครลงรายการวิ่งในประเทศอังกฤษหลายงาน ขยับระยะทางเรื่อยๆ จาก 5 กิโลเมตรเป็น 10 กิโลเมตร จากนั้นก็เริ่มไปถึงระดับฮาล์ฟมาราธอน และสุดท้าย ก็ใช้เวลาพัฒนาร่างกายตัวเองอยู่พักใหญ่ เขาสามารถจบมาราธอนครั้งแรกในชีวิตได้ในรายการซิดนี่ย์ มาราธอน ที่ประเทศออสเตรเลีย จากนั้นก็วิ่งต่อเรื่อยๆ จนสามารถจบอีกหลายมาราธอน รวมถึงรายการระดับเมเจอร์อย่าง ลอนดอน มาราธอน และ นิวยอร์ก มาราธอน
“ผมเพิ่งเคยจบมาราธอนมาสดๆร้อนๆเลยนะ ผมไม่เหมือน ฟอร์เรสท์ กัมพ์ ที่ไม่ต้องเข้ายิม ไม่ต้องฝึก ก็สามารถทำได้เลย คุณต้องเตรียมตัวและเตรียมพร้อม ผมทุ่มเทเวลาฝึกวันละ 10 ชั่วโมง มันทำให้ผมเริ่มก้าวหน้าและพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว”
หลังจบมาราธอน โป๊ป ได้เข้าถึงบางสิ่งที่หลายคนเคยบอกเอาไว้แต่เขาไม่เคยเข้าใจ นั่นคือ “ศิลปะแห่งการวิ่ง” กล่าวคือเมื่อร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ สภาพแวดล้อมด้านข้างจะเหมือนกับพูดคุยและส่งเสริมให้มีแรงในการวิ่ง และลืมความเหนื่อยไปเลย นั่นจึงทำให้กำหนดการวิ่งข้ามประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นมาในหัวสมองของเขา
“ฟอร์เรสท์ กัมพ์ เป็นภาพยนตร์ที่ดี แต่ว่าไม่ได้อยู่ในลิสต์หนังโปรด 5 เรื่องของผมหรอกนะ อย่างไรก็ตาม ผมดูหนังเรื่องนี้บ่อยมากๆ โดยเฉพาะฉากวิ่งที่ผมกรอดูเป็นร้อยๆครั้ง ผมดูเพื่อจะวิเคราะห์ว่าสิ่งต่างๆที่เขาทำ และที่ผมเตรียมพร้อมมันถูกต้องไหม? ผมไม่ต้องการเรียกร้องอะไร ไม่แม้แต่โฆษณา Nike Cortez (รองเท้าที่ กัมพ์ ใส่) และขอให้คนอื่นรับฟังสิ่งที่ผมจะพูด ผมแค่อยากจะออกวิ่งเพื่อให้พวกเขาเห็นเท่านั้น” โป๊ป กล่าวก่อนการเดินทางที่ยิ่งใหญ่จะเริ่มขึ้น
นี่ไม่ใช่หนัง
เมื่อชีวิตจริงไม่ใช่ภาพยนตร์ การเตรียมตัวก่อนการออกวิ่งข้ามประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย นอกจากจะเตรียมร่างกายและจิตใจแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาต้องการเผยถึงจุดประสงค์ของการวิ่งครั้งนี้
ในเรื่อง ฟอร์เรสท์ กัมพ์ นั้น ฟอร์เรสท์ มักจะโดนถามว่าเขาออกวิ่งเพราะอะไร? เพื่อสันติภาพของโลกใช่ไหม? เพราะเป็นคนจรจัด? หรือเพราะต้องการชูประเด็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม? ซึ่งความจริงแล้วเขาแค่วิ่งเพราะอยากวิ่ง.. ต่างจาก โป๊ป ผู้มาพร้อมกับคำสั่งเสียที่แม่บอกว่า “ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงให้กับโลก” เขาจึงต้องทำให้การวิ่งครั้งนี้ ไม่ได้เป็นแค่การตามรอยภาพยนตร์อย่างที่ใครเข้าใจ
ช่วงที่เขาออกวิ่งในครั้งแรกไม่ได้มีใครมาสนับสนุนเขา เขาใช้เงินเก็บของทั้งชีวิตลงเดิมพัน ออกเงินเองทุกอย่าง จนกระทั่งทุกฝ่ายเริ่มเห็นถึงการแสดงออกถึงความเอาจริงของโป๊ป องค์กรการกุศลก็เริ่มจะสนับสนุนเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมวิ่งเพื่อกองทุนสัตว์ป่าสากล (WWF – World Wildlife Fund) มันเป็นของใกล้ตัวผมที่สุด เพราะผมเป็นสัตวแพทย์ กับ Peace Direct (องค์กรการกุศลที่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งสนับสนุนผู้สร้างสันติภาพระดับรากหญ้าในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง) เหตุผลที่ผมต้องทำเพื่อสิ่งเหล่านี้ เพราะในวันที่ ฟอร์เรสท์ วิ่ง เขาโดนคนถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้”
วิ่งอย่างมีจุดมุ่งหมาย ต้องมาพร้อมกับการวางแผนที่ดี โป๊ปปรึกษาแพทย์และเทรนเนอร์เกี่ยวกับระยะทางในการวิ่งแต่ละวันที่เหมาะสมกับร่างกายและภารกิจที่สุด นอกจากนี้ เขายังต้องจัดเตรียมเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางต่างๆมากมาย ทั้งการยื่นขอ ESTA (Electronic System for Travel Authorisation – พูดให้เข้าใจง่าย คือการทำเรื่องเข้าประเทศโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษของผู้ถือพาสปอร์ตอังกฤษในการเข้าสหรัฐอเมริกา) ทว่าการขอ ESTA แต่ละครั้ง จะอยู่ในอเมริกาได้ไม่เกิน 90 วัน
เพียงเท่านี้คุณคงพอจะเห็นภาพแล้วว่า สำหรับคนต่างชาติเช่นเขา การจะตามรอย ฟอร์เรสท์ กัมพ์ ในการวิ่งข้ามประเทศหลายรอบ แถมยังเปลี่ยนเส้นทางในแต่ละรอบด้วยนั้น ไม่อาจเป็นไปได้ด้วยการวิ่งรวดเดียว (โดยปกติแล้ว ระยะทางในการข้ามอเมริกาจากตะวันออกสุดไปตะวันตกสุดอยู่ที่ 2,572 ไมล์ หรือ 4,139 กิโลเมตร) ดังนั้นจึงต้องมีรอบสอง, สาม, สี่ เรื่อยๆเพื่อเก็บระยะ ทำให้ครั้งต่อๆมา เขาตัดสินใจขอวีซ่า เพื่อให้สามารถอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้นานขึ้นเป็นไม่เกิน 180 วัน เพิ่มเวลาในการวิ่งให้เขามากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น โป๊ป ยังต้องวางแผนเส้นทางต่างๆให้ไปถึงเมืองแต่ละเมืองในช่วงที่มีอากาศดีๆ หรือมีเทศกาลสำคัญๆ ให้เขาได้ท่องเที่ยวภายในตัวไปด้วย
“ผมอยากเข้าเส้นชัยในเมืองที่อากาศเย็นสบาย อาจจะเป็นที่ มินนิโซตา หรือที่ ชิคาโก ผมวางแผนจะไปวิ่งให้ถึง ดีทรอยต์ วันที่ 3 มิถุนายน เพราะจะได้ดูวงดนตรีอย่าง U2 มันคงจะเจ๋งมากถ้าได้ทำอย่างนั้น” นี่คือส่วนหนึ่งของแผนการที่เขาวางไว้ให้การวิ่งครั้งนี้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดในแง่การระดมทุน และเป้าหมายส่วนตัวของเขา
สิ่งสำคัญที่ทำให้การวิ่งของ โป๊ป ได้รับการสนับสนุนและการพูดถึงคือ เขาเลือกที่จะแต่งตัวเหมือนกับ ฟอร์เรสท์ กัมพ์ ด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกัน สีเดียวกัน นั่นจึงทำให้หลายคนสนใจเขาขึ้นมา และเรื่องราวของเขาก็ถูกถ่ายทอดลงสื่อโดยพาดหัวว่า “ฟอร์เรสท์ กัมพ์ บนโลกแห่งความจริง” จากนั้นการระดมทุนก็ทำได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าเขาจะวิ่งไปที่ไหนก็จะได้พบปะพูดคุยกับคนอื่นๆตลอดเส้นทาง ซึ่งเขาเชื่อว่า นี่ต่างหาก คือความสุขของการวิ่งระยะไกลที่แท้จริง
“ถ้าให้เปรียบเทียบการวิ่งข้ามประเทศกับการแข่งขันมาราธอนที่เคยผ่านๆมา ผมบอกได้คำเดียวเลยว่า นี่มันดีกว่าชัดๆ มาราธอนเหมือนสัตว์ร้ายสำหรับผม มีแรงกดดันเกิดขึ้นก่อนการแข่งแต่ละครั้ง ต้องวิ่งให้เร็ว ต้องทำเวลาให้ดี โน่นนี่เต็มไปหมด แต่การวิ่งแบบที่ผมทำ ผมวิ่งช้าลงกว่าเดิมเยอะมากโดยไม่กลัวใครมาว่า บางครั้งผมก็เดินตามแนวสันเขา ถ่ายภาพสวยๆบันทึกความทรงจำ พูดคุยกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา นั่นคือสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุดในอเมริกา ผู้คนนี่แหละยอดเยี่ยมที่สุด” โป๊ป กล่าวเช่นนั้น
สิ่งที่หนังไม่ได้บอก
การวิ่งข้ามประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่าย ระยะทางอันแสนยาวไกลนั้นได้ทำให้ โป๊ป พบเจออะไรต่างๆมากมาย แม้เขาจะแต่งตัวเหมือนกับ ฟอร์เรสท์ กัมพ์ แต่เขาคิดว่าตัวเองได้เจอกับความท้าทายที่โหดหินกว่า
“มันยากมากเลยจริงๆสำหรับการวิ่งราว 40 ไมล์ (64 กิโลเมตร) ต่อวัน 3 วันแรกนี่จำได้ดี ผมประสบปัญหาเรื่องแผลพุพองขนาดใหญ่ที่ฝ่าเท้าของผมทั้งสองข้าง แผลมันใหญ่ประมาณ 1 ใน 3 ของฝ่าเท้าเลยนะ นั่นคือหนึ่งในหลายๆอาการที่กัมพ์ไม่ได้เจอ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ผมแข็งแกร่งบึกบึนขึ้นเยอะหลังจากนั้น” โป๊ป ที่แต่งตัวเหมือน กัมพ์ ในการวิ่งกล่าว
“มีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นมากมาย ทั้งอาการอักเสบของกระดูกและกล้ามเนื้อ อาการปวดล้าไม่ต้องพูดถึง มีให้ได้พบได้เจอในทุกๆวัน ผมเคยเป็นแผลที่ขาหนีบเรื้อรัง อาหารเป็นพิษจนต้องนอนพักถึง 5 วัน นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ”
หากวัดตามนาฬิกาข้อมือเพื่อสุขภาพ พบว่า โป๊ป นั้นใช้เวลาวิ่งทั้งหมด 422 วัน ได้ระยะทางทั้งหมด 15,607 ไมล์ หรือราว 25,117 กิโลเมตร ซึ่งค่าเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 37 ไมล์ หรือราว 60 กิโลเมตรต่อวัน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นถือว่าสูงกว่าที่ กัมพ์ ทำพอสมควร
สิ่งที่ภาพยนตร์บอกคือ กัมพ์ วิ่งด้วยระยะทางทั้งหมด 13,889 ไมล์ หรือราว 22,352 กิโลเมตร ใช้เวลาถึง 3 ปี 2 เดือน 14 วัน และ 16 ชั่วโมง โดยค่าเฉลี่ยของ กัมพ์ ต่อวันในการวิ่งจะอยู่ที่ราว 12 ไมล์ หรือ 19 กิโลเมตร เท่านั้น ดังนั้น ชัดเจนว่า โป๊ป ทำยิ่งกว่าที่ กัมพ์ ทำ และมันทำให้เขาได้รู้ว่า ความเจ็บปวดทรมาน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆสำหรับการวิ่งในระยะไกลขนาดนี้
อีกสิ่งหนึ่งที่ กัมพ์ กับ โป๊ป ได้พบคำตอบที่แตกต่างกันในวันที่การวิ่งสิ้นสุดลงคือ.. กัมพ์ เดินหน้าต่อกับเรื่องอื่นๆ แต่ โป๊ป พบความสุขที่แท้จริงในการวิ่งระยะไกลแบบนี้ จนเขาหยุดไม่ได้ และหาความท้าทายครั้งต่อๆไป
หลังจากวิ่งข้ามอเมริกาครั้งแรก ร็อบ โป๊ป ยังใช้การวิ่งรอบอเมริกาเพื่อระดมทุนต่อไป หลังจากปี 2016 ที่ทำสำเร็จครั้งแรก เขายังวิ่งข้ามอเมริกาได้อีก 2 ครั้ง ระดมทุนได้มากมาย และในทางเดียวกัน เขาก็รับรู้ว่ายิ่งทำยิ่งมีแต่ความสุข และคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหยุดวิ่ง..
“สิ่งที่บั่นทอนมากที่สุด คือการตื่นมาและพบว่ายังมีภาระอีกหลายไมล์ที่ต้องวิ่งให้เสร็จ.. นั่นคือการรับมือกับจิตใจตัวเองที่ยากที่สุดแล้ว” เขากล่าวเริ่ม
“เชื่อไหม? ทุกวันที่ตื่นมาในช่วงที่วิ่งข้ามอเมริกา ผมมีความรู้สึกอยากจะล้มเลิกทุกวัน แต่พอได้เริ่มก้าวขาออกมาก้าวแรกผมกลับรู้สึกอีกอย่าง ผมภูมิใจ เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะวิ่งได้ 40 ไมล์ต่อวัน ผมเกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพและร่างกายแทบทุกวัน แต่ผมก็กลับมาคิดตลอดว่า ผมต้องการอะไรกันแน่? ผมมีวิธีแก้แบบไหนเพื่อให้ผมได้ไปต่อ ผมค่อยๆมองสิ่งใกล้ๆ คิดเสมอว่าปลายทางข้างหน้ามีมหาสมุทรรออยู่ ถ้าไปถึงก็ถือว่าเยี่ยมยอด ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว” โป๊ป กล่าว
การวิ่งข้ามอเมริกาได้ถึง 5 ครั้ง หลายคนเริ่มเรียกเขาว่า “ยอดมนุษย์” ซึ่งเขายอมรับว่าไม่ได้ต้องการคำชื่นชมยกยอนั้นมากมายนัก แต่เขาเชื่อว่าใครก็เป็นยอดมนุษย์ได้ หากรู้จักตั้งเป้าหมายที่เหมาะกับตัวเอง และมุ่งมั่นที่จะเดินไปข้างหน้า
“อย่าเรียกผมว่ายอดมนุษย์เลย ในเมื่อใครก็ทำในสิ่งที่เหนือกว่าที่คนอื่นคาดคิดได้เสมอ มันคือธรรมชาติของมนุษย์ หลายครั้งคนเราจินตนาการถึงอุปสรรคตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม จากนั้นก็กลัวในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น จนไม่ได้ทำอะไรเลยในท้ายที่สุด”
“ผมเชื่อว่ามนุษย์เราไปได้ไกลถ้าไม่กลัวความล้มเหลว มีสติ ตั้งมั่น ใจเย็นๆ เพราะเราสามารถทำทุกอย่างที่เราอยากทำให้เป็นจริงได้ เชื่อผมเถอะ” ร็อบ โป๊ป กล่าวทิ้งท้าย
เชื่อว่าหลายคนคงเคยดูหนังเรื่อง ฟอร์เรสท์ กัมพ์ และคิดในใจว่าพระเอกของเรื่องนั้นเป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน ไปได้สุดในทุกเส้นทางอย่างเหนือมนุษย์
ทว่าหากคุณเทียบกับสิ่งที่ ร็อบ โป๊ป บอก มันชัดเจนว่ามนุษย์ทุกคนพร้อมจะทำสิ่งที่เหลือเชื่อ และเกินความคาดหมายของตัวเองและคนอื่นๆได้เสมอ
เพียงแต่ว่าสภาพจิตใจ สภาพร่างกายของคุณต้องมาถึงจุดที่พร้อมที่สุด..
พร้อมที่จะไปข้างหน้า พร้อมที่จะเลิกกลัว พร้อมที่จะใจเย็น และพร้อมที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้ตัวเอง..
นี่คือสิ่งที่ ร็อบ โป๊ป ฝากเอาไว้ถึงมนุษย์ทุกๆคนบนโลกนี้