คุณเคยรู้สึกหงุดหงิดไหมครับ เวลาตามทอปปิกในกระแสไม่ทัน คุณเคยรู้สึกแปลกแยก เวลาตกข่าวบ้างไหม? ถ้าคุณเคยรู้สึกแบบนี้ คุณอาจเสี่ยงกับอาการ FOMO ไม่รู้ตัว!
FOMO คืออะไร?
FOMO หรือ Fear of Missing Out คืออาการกลัวตกเทรนด์ รู้สึกกังวลว่าตัวเองจะพลาดอะไรไปหรือเปล่า โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นประเด็นร้อนในสังคม และรวมถึงเรื่องเล็ก ๆ อย่างประเด็นในกลุ่มเพื่อนอีกด้วย ซึ่งส่วนมากมักเกิดกับผู้ที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างหนัก จนปล่อยให้มันครอบงำชีวิตของเราเกินไป
ซึ่งอาการ FOMO นี้ ผมบอกเลยครับว่าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความเครียด อาการวิตกกังวล และอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ จากการใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไป (Social Media Addiction) อีกด้วยครับ
สังเกตตัวเอง คุณมีอาการ FOMO หรือไม่
คนส่วนมากมักจะไม่ค่อยรู้ตัว ว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของอาการนี้หรือเปล่า วันนี้ผมเลยขอพาทุกคนมาวินิจฉัยตัวเองกันครับ ว่าคุณมีอาการของ FOMO บ้างไหม?
- อารมณ์แปรปรวน เมื่อไม่ได้เล่นโซเชียล
- ใช้สมาร์ทโฟนมากกว่า 6 ชม./วัน
- ต้องอัปเดตตลอดเวลา ไถ Facebook ทุกชั่วโมง, รีทุกเทรนด์ Twitter, เช็ก IG Story ทุกครั้งที่ได้จับมือถือ
- กลัวตัวเองตกกระแส หรือรู้ข่าวช้ากว่าเพื่อน ๆ
- รู้สึกกังวล เมื่อถูกตำหนิบนโซเชียลมีเดีย
- รู้สึกไม่สบายใจ เวลาต้องเลื่อนนัด หรือไม่ได้ไปเจอแก๊งเพื่อน พร้อม ๆ กับคนอื่น
- มีอาการซึมเศร้า หรือมีความสุขน้อยลง เมื่อตัวเองไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ต้องการ
ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้เกิน 4 ข้อ ผมบอกได้เลยครับว่า “คุณติดกับดักมันซะแล้ว!”
และรู้ไหมครับ ว่า 80% ของคนที่เข้าข่ายมีอาการ FOMO ยังเป็นคนเอเชียอีกด้วย แถมผลการสำรวจเมื่อปี 2020 ยังพบว่าคนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ต ผ่านสมาร์ทโฟนสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ซึ่งใช้เวลามากกว่า 6 ชั่วโมง/วัน หรือกินเวลาถึง 1 ใน 4 เลยล่ะครับ และอาการนี้ก็สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัยเลยครับ โดยเฉพาะเหล่าวัยรุ่น เพราะเป็นวัยที่ต้องการค้นหาตัวเอง อยากเป็นที่ยอมรับ และต้องการได้รับความสำคัญมากกว่าวัยอื่น ๆ โซเชียลมีเดียจึงมีอิทธิพลกับคนกลุ่มนี้มากพอสมควรเลยครับ
FOMO เป็นแล้วรักษาได้ไหม?
สำหรับคนที่อยากรักษาอาการเหล่านี้ จริง ๆ แล้วคนรอบข้างมีส่วนสำคัญมากเลยนะครับ ที่จะคอยสังเกต และชวนกันทำกิจกรรม Outdoor หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสมาร์ทโฟน แต่ก็มีวิธีสำหรับคนที่ต้องการบำบัดอาการติดโซเชียลด้วยตัวเองนะครับ คือ
- เปิดโหมดออฟไลน์ หนีจากการแจ้งเตือนบ้าง
- จำกัดชั่วโมงการเล่นโทรศัพท์มือถือต่อวัน แล้วใช้เวลาว่างไปกับงานอดิเรกที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือออกไปคาเฟ่ ทานอาหารอร่อย ๆ ก็ช่วยได้นะครับ
- Disconnect to Connect ใช้เวลากับเพื่อนและครอบครัวให้มากขึ้น เพื่อเลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องอยู่คนเดียว จะได้ไม่เผลอเล่นสมาร์ทโฟนค
- ละสายตาจากหน้าจอทุก 2 ชั่วโมง นอกจากจะไม่ต้องเสี่ยงกับอาการออฟฟิศซินโดรมแล้ว ยังช่วยถนอมสายตาของเราอีกด้วยครับ
- และข้อสุดท้ายคือการยอมรับและเปิดใจ ว่าเรามีอาการ FOMO จริง ๆ ถึงจะสามารถเริ่มการบำบัดได้ครับ
หลายคนอาจจะมองว่า FOMO ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่ผมอยากบอกว่าเจ้าอาการนี้จะค่อย ๆ กัดกินความสดใส และความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้างทีละนิด และแม้ว่าการรักษาอาการ FOMO อาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งแพทย์ เหมือนกับอาการอื่น ๆ แต่อาการเหล่านี้จะหายได้ ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจที่แข็งแกร่งของคุณ และความใส่ใจจากคนรอบข้าง ที่จะช่วยให้คุณกลับมามีความสุข แม้ไม่ต้องตามเทรนด์เหมือนใคร ๆ ครับ
สุดท้ายนี้ถ้าคุณอ่านบทความจบแล้ว ก็อย่าลืม ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดโทรศัพท์ พักสายตาบ้าง แล้วชวนคนข้าง ๆ ไปออกกำลังกาย เอนจอยกับสิ่งรอบตัว เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี แค่นี้ก็ไม่มีใครต้องตกเป็นเหยื่อของ FOMO อีกต่อไปแล้วครับ