เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 30 และขยายมาตรการล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว จำกัดการเดินทาง 29 จังหวัดสีแดงเข้ม ถึง 31 ส.ค. ประเมินทุก 14 วัน
วานนี้ (1 ส.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ที่ 11/2564 ปรับปรุงกำหนดพื้นที่สถานการณ์โควิด โดยมีพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด 37 จังหวัด และ พื้นที่ควบคุม 11 จังหวัด โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.2564 เป็นต้นไปหรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
รายละเอียด : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/173/T_0008.PDF
นอกจากนี้ ราชกิจจานุเบกษา ยังแพร่ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30) โดยมีสาระสำคัญตอนหนึ่ง ระบุว่า โดยที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิดยังคงทวีความรุนแรง โดยเฉพาะไวรัสกลายพันธุ์เดลตา ที่สามารถแพร่กระจายและติดต่อโรคกันได้โดยง่าย ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันเพิ่มสูงขั้นอย่างต่อเนื่องใน กทม.และจังหวัดที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
โดยฝ่ายสาธารณสุขรายงานผลการประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ที่แสดงผลว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูงเพิ่มมากขึ้น หากมิได้ดำเนินมาตรการควบคุมและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางและการรวมกลุ่มของบุคคลอย่างรัดกุม แม้ปรากฎว่าผู้ติดเชื้อหายป่วยหรืออาการดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาลได้ในแต่ละวันมีจำนวนเพิ่มขึ้นก็ตาม
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงจำเป็นต้องบังคับใช้บรรดามาตรการ ข้อห้าม และข้อปฏิบัติต่างๆอย่างเข้มงวดกวดขัน เพื่อการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องออกไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง และยกระดับบางมาตรการเพื่อให้การควบคุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ จากการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้างในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑลเพื่อป้องกันการระบาดแบบคลัสเตอร์ โดยปิดสถานที่ก่อสร้างและบริเวณที่พักอาศัยชั่วคราวสำหรับคนงาน ตลอดจนได้มีการกำหนดมาตรการปิดสถานที่หรือกิจการที่มีความเสี่ยง
ผลการดำเนินการช่วงเวลาที่ผ่านมาปรากฎว่าได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการและผู้รับผิดชอบในการปรับปรุงสถานที่พักคนงานและการสุขาภิบาลให้ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งการกำกับติดตามให้เป็นไปตามมาตรการที่ราชการกำหนด
จึงสมควรปรับการบังคับใช้บางมาตรการต่อกลุ่มบุคคล สถานที่ และกิจการที่เกี่ยวข้องเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังคงปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและกำกับติดตามการป้องกันและควบคุมโรคตามที่ราชการกำหนด ดังนี้
การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพื่อชะลอและลดแนวโน้มความรุนแรงของการระบาด จึงกำหนดให้บรรดามาตรการ ข้อห้าม และข้อปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในข้อกำหนด (ฉบับที่ 28) ลงวันที่ 17 ก.ค.2564 ได้แก่
การลดและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทาง การห้ามออกนอกเคหสถานระหว่าง 21.00-04.00 น. การขนส่งสาธารณะ การปฏิบัติงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน และมาตรการควบคุมบูรณาการเร่งด่วนสำหรับสถานที่ กิจการ หรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยง ยังคงใช้บังคับต่อเนื่องไปจนถึง 31 ส.ค.2564
การปรับเเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมและการตรวจคัดกรองการเดินทางในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ให้เจ้าหน้าที่ตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัด ในเส้นทางคมนาคมข้ามเขตจังหวัด และการเดินทางออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมสุงสุดไปยังจังหวัดอื่น
ห้ามจัดกิจกรรมการเสี่ยงต่อการแพร่โรค โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน , พื้นที่ควบคุมสูงสุด ห้ามรวมกลุ่มเกิน 20 คน , พื้นที่ควบคุม ห้ามรวมกลุ่มเกิน 50 คน , พื้นที่เฝ้าระวังสูง ห้ามรวมกลุ่มเกิน 100 คน , พื้นที่เฝ้าระวัง ห้ามรวมกลุ่มเกิน 150 คน
ทั้งนี้ ให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉฺนด้านความมั่นคง (ศปม.) พิจารณามาตรการจำเป็นและเหมาะสมของสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่เพื่อการเข้าระงับยับยั้ง ตรวจสอบ ยุติการชุมนุมหรือทำกิจกรรม
กิจกรรมที่ได้รับการยกเว้น ให้รวมกลุ่มหรือจัดได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ประกอบด้วย
1.การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน ได้แก่ การขนส่งคนเดินทางเข้าออกจากที่เอกเทศตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ศูนย์พักคอยรอการส่งตัว หรือสถานที่เพื่อการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อในชั้นแรก 2.กิจกรรมเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลและสาธารณสุข
3.กิจกรรมเกี่ยวกับการให้บริการ การให้ความช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
4.การรวมกลุ่มของบุคคลตามปกติในที่พักอาศัย ที่ทำงาน การประชุมโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ หรือการออกกำลังกายในสถานที่ตามที่ราชการกำหนด
5.กิจกรรมที่ดำเนินโดยเจ้าหน้าที่ หรือองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐโดยความเห็นชอบของหัวหน้าหน่วยงานดังกล่าว
การปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการเร่งด่วน สำหรับสถานที่กิจการหรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยง มีดังนี้
1.ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มในห้างสรรพสินค้า เฉพาะพื้นที่ควบคุมสุงสุดและเข้มงวด เปิดได้จนถึง 20.00 น. อนุญาตเฉพาะบริการขนส่งอาหาร หรือ เดลิเวอรี เท่านั้น โดยไม่มีการจำหน่ายแก่ผู้บริโภค เพื่อลดการติดต่อระหว่างกัน
2.กลุ่มแรงงานก่อสร้างในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณาปรับมาตรการเพื่อให้พื้่นที่หรือสถานที่่ก่อสร้างที่ผ่านตามมาตรฐานสาธารณสุข หรือได้ดำเนินการแก้ไขเพื่อให้มีสภาวะที่ถูกสุขลักษณะแล้วให้เปิดหรือดำเนินการได้ภายใต้หลักเกณฑ์ มาตรการ และแนวทางกำกับติดตามประเมินผลที่กำหนด รวมถึงการมีคำสั่งให้ผู้ประกอบการหรือผู้รับผิดชอบในพื้นที่ ดำเนินมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ หรือ Bubble and Seal เพื่อป้องกันการระบาดในแรงงานก่อสร้าง และเมื่อเกิดการระบาดในพื้นที่ต้องปรับระดับความเข้มข้นของมาตรการ ทั้งนี้ยังคงให้ดำเนินกิจการต่อไปภายใต้มาตรการการเดินทางเคลื่อนย้ายระหว่างที่พักและสถานที่ทำงานภายใต้การกำกับควบคุม หรือ Sealed Route ที่มีการบริหารจัดการในการแยกผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัสใกล้ชิด ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ และกลุ่มเปราะบาง
การปรับเงื่อนไขการใช้เส้นทางการคมนาคมและการเดินทางของกลุ่มแรงงานก่อสร้างในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ให้พิจารณาผ่อนคลายมาตรการคัดกรองการเดินทางเข้าออกของแรงงานก่อสร้างที่เดินทางข้ามเขตจังหวัดในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล
มาตรการเพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้างทั่วราชอาณาจักร ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณานำมาตรการป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ หรือ Bubble and Seal และมาตรการเดินทางเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างที่พักและสถานที่ทำงานภายใต้การกำกับควบคุม หรือ Sealed Route มาใช้บังคับให้เหมาะสมกับสถานการณ์
มาตรการเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานในสถานประกอบกิจการหรือโรงงานทั่วราชอาณาจักร ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ กำกับดูแล ประเมินผลการปฏิบัติ และให้ข้อเสนอแนะต่อผุ้ประกอบการในการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติด้านสาธารณสุขตามมาตรการ Bubble and Seal เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด รวมถึงมีมาตรการเดินทางเคลื่อนย้ายระหว่างที่พักและสถานที่ทำงาน หรือ Sealed Route ด้วย
การกำหนดมาตรการเพิ่มเติมและแต่ละจังหวัด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด อาจพิจารณาดำเนินการ ในการสั่งปิด จำกัด หรือห้ามการดำเนินการของสถานที่ กิจการ หรือสั่งให้งดการทำกิจกรรมอื่นในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เป็นการเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตาการควบคุมแบบบูรณาการที่ส่วนกลางกำหนดให้
การบังคับใช้มาตรการตามข้อกำหนด ให้ดำเนินการต่อเนื่องจนถึงวันที่ 31 ส.ค.2564 โดยให้ประเมินสถานการณ์และความเหมาะสมของมาตรการตามข้อกำหนดนี้ทุกห้วงระยะเวลา 14 วัน ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.เป็นต้นไป
รายละเอียด : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/173/T_0001.PDF