“พปชร.” ชี้ 3 เหตุ ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง พร้อมเสนอ 4 แนวทางแก้ไขตอบโจทย์อย่างยั่งยืน ยุติปัญหาไฟฟ้าล้น-ส่งเสริมหลังคาโซลาร์เซลทุกครัวเรือน-ปรับลดค่าเอฟที
เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2566 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค พร้อมด้วย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรค และ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค แถลงเรื่อง “ปัญหาไฟฟ้าของประเทศไทย”
โดย มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวถึงที่มาและปัญหาค่าไฟฟ้าแพงว่า มาจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ 1.การสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น ไฟฟ้าสำรองสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โรงไฟฟ้าแม้ไม่ผลิตไฟ ประชาชนก็ต้องจ่ายเงิน เรียกว่าค่าความพร้อมจ่าย (AP)
2.โรงไฟฟ้าใหม่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง แต่ปัญหาการจัดการแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณในอ่าวไทยของรัฐบาล ทำให้ปริมาณก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าลดลงกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่ามาทดแทน
และ 3.การปิดโรงไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ เพื่อเปิดทางให้โรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ LNG มีราคาแพงเข้ามาในระบบ หากเป็นเอกชนก็ต้องจ่ายค่า AP เป็นก้อนใหญ่ชดเชยให้ ทั้งที่บางแห่งผลิตไฟได้ถูกกว่า ทั้งนี้ ตนขอแจกแจงให้เห็นชัดๆ ถึงปัญหาในแต่ละส่วน ดังนี้ 1.ปัญหาการสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น
1.1 ไฟฟ้าสำรองปี 2557 ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปฏิวัติ 30% ปี 2565 หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มา 8 ปี ขึ้นเป็น 70%
1.2 รัฐทำสัญญากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแบบ Take or Pay คือ แม้ไม่ใช้ไฟประชาชนก็ต้องจ่าย เรียกว่าค่าความพร้อมจ่าย (AP) ทั้งค่าก่อสร้าง ค่าจ้างคน นำมารวมเป็นค่าไฟฐาน รัฐควรจะใช้เงื่อนไขนี้เฉพาะแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เงื่อนไขนี้ผิดพลาดมาหลายรัฐบาล แต่พลเอกประยุทธ์ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไม่แก้ไข
2. ปัญหาการจัดการแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณในอ่าวไทย 2.1 การเปลี่ยนสัญญาสัมปทานในแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณเป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิต เกิดความผิดพลาดล่าช้า ทำให้ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยลดลงกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่ามาทดแทน ส่งผลกระทบต่อค่าไฟโดยตรง
2.2 กำหนดเงื่อนให้บริษัทผูกขาดท่อก๊าซกลางอ่าวไทยเป็นผู้ได้สิทธิ์รับซื้อก๊าซของชาติที่ปากหลุมผลิตแต่ผู้เดียว เพื่อบวกกำไรแล้วจึงขายให้ กฟผ. ทั้งที่บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย ดังนั้น ควรจัดตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติ เพื่อเป็นผู้ใช้สิทธิ์รับซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทยแต่ผู้เดียว เพื่อขายก๊าซถูกให้ กฟผ.
3. เลือกซื้อไฟที่ต้นทุนแพงโดยไม่จำเป็น 3.1 กฟผ. เข้าไปรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีต้นทุนแพงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ. อย่างมาก ทำให้ค่าไฟสูงขึ้น เพราะใกล้เลือกตั้งจึงไม่กล้าขึ้นค่าไฟจึงให้ กฟผ. แบกรับค่าไฟที่สูงขึ้นแทนประชาชนไปก่อน แล้วมาเรียกเก็บจากประชาชนผ่านค่า FT ในภายหลัง ขณะนี้ กฟผ. มีหนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดอยู่ในระดับ 150,000 ล้านบาท
3.2 รัฐบาลประยุทธ์ควรจะสั่งให้ กฟผ. เลิกซื้อไฟที่ต้นทุนแพงจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิง เปลี่ยนไปรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของประชาชนแทน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลงมาก
ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า อีกหนึ่งสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้ค่าไฟฟ้าของประเทศแพง เนื่องจากปัจจุบันการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงของรัฐบาลไม่ได้แก้แบบบูรณาการ และยังเป็นการแก้ไม่ตรงจุด ขณะที่แนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าของพล.อ.ประยุทธ์ ในปัจจุบัน เป็นการแก้ไขแบบเอื้อต่อนายทุนมากกว่าการมองผลประโยชน์ของประชาชนอย่างจริงจัง จึงทำให้เกิดเป็นปัญหาสะสมอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ตนจะชี้ให้เห็นปัญหาและความล้มเหลว ดังนี้
1.กำหนดราคาค่าไฟฟ้าให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ ไม่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า ดังนั้น การกำหนดเพดานราคาค่าไฟฟ้าให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร ก็ย่อมจะต้องควักกระเป๋าออกมาจากฝ่ายรัฐเท่านั้น จึงเป็นนโยบายที่เน้นการปกป้องผลกำไรของนายทุนพลังงานเป็นหลัก
2.ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านสำหรับผลิตไฟฟ้า และขายเข้าระบบเพื่อสร้างรายได้ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง เพราะการติดตั้งบังคับให้ต้องขออนุญาตถึง 3 หน่วยงาน มีการกำหนดปริมาณที่จะรับซื้อไฟฟ้าแบบนี้ไว้จำกัดมาก และรับซื้อในราคา 2.20 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าราคาที่ครัวเรือนซื้อไฟฟ้าจากรัฐบาลมาก
“รัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่ารัฐบาลได้เปิดให้มีการประมูลไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้เอกชนรายใหญ่อีกถึง 3,660 เมกะวัตต์ ทั้งที่ควรรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน เพื่อลกรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน” นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากล กรณีที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นรัฐบาลรักษาการ มีการอนุมัติผลการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จำนวน 175 ราย 5,203 เมกะวัตต์ ในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งตนมีข้อสงสัยต่อกรณีดังกล่าว คือ 1.การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่รัฐบาลรักษาการพึงกระทำหรือไม่
2.เป็นการประมูลที่ไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาไม่ถือเป็นการประมูล แต่เป็นการคัดเลือกจากรายชื่อที่ยื่นเข้ามา และ 3.เป็นการทิ้งทวนเพื่อเอื้อกลุ่มทุนหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ และนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงานรักษาการ จะต้องมีคำตอบให้กับประชาชน
ขณะที่นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล พรรคมีนโยบายที่จะแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงแบบบูรณาการและตอบโจทย์ ซึ่งพรรคมองว่าแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องดำเนินการให้ครอบคลุม 4 แนวทาง เพื่อให้เป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน ได้แก่ 1.ยุติปัญหาโรงไฟฟ้าล้นเกิน 1.1 ไม่ทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ทุกรายจนกว่าไฟฟ้าสำรองอยู่ในระดับ 15% 1.2 ตรวจสอบการประมูลที่ผ่านมาว่า มีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เช่น การล๊อคสเปกในการประมูล เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน
2. ลดการใช้ LNG เพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า 2.1 เร่งกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยโดยเฉพาะแหล่งบงกชและเอราวัณ ให้กลับมาเป็นปกติ จะช่วยลดการนำเข้า LNG ได้ 1000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้ 70%
2.2 เจรจาชอยืมก๊าซในแหล่งพัฒนาร่วมไทย มาเลเซีย ที่แบ่งกันคนละครึ่ง ให้ไทยเป็นผู้ใช้ก๊าซเป็นเวลา 1-2 ปี ในช่วงปรับโครงสร้างพลังงานไทยทั้งระบบ ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้ 20-30%
2.3 ห้ามมิให้ กฟผ. รับซื้อไฟจากเอกชนในราคาสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ. บวกอีก 10% โดยโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิงโดยจะได้รับเพียงเงินค่าความพร้อมจ่ายเท่านั้น โดยให้ กฟผ ซื้อจากแหล่งที่มีราคาถูก เช่น โรงไฟฟ้าจากชุมชนและโซล่าร์ประชาชนที่มีราคาถูกกว่าแทน
2.4 จัดตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติที่รัฐถือหุ้น 100% ทำหน้าที่จัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่จะทยอยหมดอายุสัมปทาน และต้องตกเป็นของรัฐ โดยให้องค์กรเป็นผู้ทรงสิทธิ์ซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทยแต่ผู้เดียวและเป็นผู้จัดสรรสิทธิ์การใช้ก๊าซราคาถูกจากอ่าวไทย โดยกำหนดราคาขายเป็นขั้นบันได ราคาต่ำสุดจะให้สิทธิ์แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการผลิตก๊าซหุงต้มสำหรับประชาชน ราคาบันไดขึ้นต่อไปหากมีก๊าซเหลือจึงจะให้สิทธิ์แก่ภาคธุรกิจทั้งปิโตรเคมี และการผลิตไฟฟ้าของเอกชน
3. เพิ่มไฟฟ้าภาคประชาชนเข้ามาในระบบแทนโรงไฟฟ้าที่ใช้ LNG 3.1 สนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง โดยให้ครัวเรือนขายไฟฟ้าได้ในราคาเดียวกันกับราคาที่ซื้อไฟฟ้า ตามหลักของการหักกลบลบหน่วย Net Metering ค่าไฟต่ำสุดเหลือ 0 บาท
3.2 ให้ อบต. และเทศบาล ร่วมกับ กฟผ. กฟภ. หรือเอกชน ทำโซลาร์ฟาร์ม โดยผลกำไรส่วนหนึ่งเป็นของ อบต. และอีกไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งจะนำมาเฉลี่ยให้กับครัวเรือนแต่ละหลัง เพื่อหักออกจากค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บ ช่วยลดผลกระทบจากค่าไฟที่สูงขึ้น 3.3 ให้กระทรวงการคลังประสานกับธนาคารของรัฐ เพื่อให้เป็นผู้ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน และโครงการโซลาร์ชุมชน
4. ยุติปัญหาค่า FT แพง 4.1 การปรับลดค่า FT ให้นำหนี้สินของ กฟผ. ที่จะเรียกเก็บผ่านค่า FT มาออกเป็นพันธบัตร “ไฟฟ้าประชารัฐ” อายุ 5-15 ปี จะทำให้ภาระหนี้สินที่ต้องเรียกจากประชาชนลดลงจาก 1.5 แสนล้านบาทเหลือปีละ 1.5 หมื่นล้าน โดยค่า FT ในส่วนหนี้สินนี้จะเหลือต่ำกว่า 10 สตางค์ โดยรักษาให้ FT รวมอยู่ในระดับ 25 สตางค์ แต่มีเพดานไม่เกิน 50 สตางค์ ในภาวะที่ราคาเชื้อเพลิงผันผวน ซึ่งลดลงจากเป้าหมายที่ กฟผ. เสนอค่า FT ในเดือน พ.ค. 2566 ที่ 293.60 สตางค์ โดยจะต้องทำพร้อมปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าข้างต้น เพื่อไม่ให้หนี้สินกลับมาเป็นภาระอีก