ช่วงนี้ออกเดินทางไม่ได้ ก็ได้แต่เฝ้าภาวนาให้โรคระบาดโควิด 19 หายไปจากประเทศไทยและโลกนี้ไวๆ เราจะได้ออกเดินทางท่องเที่ยวให้หายคิดถึงธรรมชาติกันเสียที ผมเชื่อว่าเกือบทุกท่านคงคิดเช่นเดียวกัน วันนี้เราได้แต่เพียงค้นภาพการเดินทางเก่าๆ เปิดดูกัน ราวกับการนั่งคิดถึงใครสักคนแต่ไม่สามารถเดินทางไปหาได้ มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานเหลือเกิน
วันนี้ผมได้เปิดโฟลเดอร์ภาพขึ้นโฟลเดอร์หนึ่งที่ไม่ได้เปิดมานาน จนผมแทบลืมไปแล้วว่าเคยไปมา ภาพความทรงจำในอดีตเริ่มผุดขึ้นมาเป็นระยะ มันเป็นภาพที่ถูกถ่ายเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2546 หรือเมื่อ 18 ปีที่แล้ว เป็นภาพที่เก่ามากแต่น่าแปลกตรงที่ว่าผมยังจำการเดินทางในช่วงเวลานั้นได้ดี อาจเป็นเพราะความประทับใจจากธรรมชาติที่หาโอกาสเข้าถึงได้ยาก ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เข้าไป อีกทั้งความประทับใจจากมิตรสหายผู้ร่วมเดินทางที่ทุกคนน่ารักมีน้ำใจที่ดีต่อกัน ใช่ครับ..เป็นทริปเดินป่าที่สุดโหดทริปหนึ่งในช่วงเวลานั้น เป็นเสมือนทริปลับอำพรางจากพงพนาป่าเขียวปกปิดซ่อนเร้นไว้ เพื่อให้ธรรมชาติได้ดำรงอยู่มาจนทุกวันนี้ ณ ที่แห่งนี้คือ “ป่าปิด ภูกระดึง” ภูเขารูปหัวใจดินแดนแห่งความรักความหลังของใครหลายคน
ในทริปนั้นผมและผู้ร่วมทริปเดินเท้าขึ้นสู่ภูกระดึงโดยมีจุดหมายแรกคือบริเวณหลังแป และต่อด้วยศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอันเป็นจุดกางเต็นท์พักแรม ช่วงปลายฤดูร้อนต้นฤดูฝนไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมามากนัก ทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงจะเปิดให้นักท่องเที่ยวแจ้งความประสงค์ที่จะเดินทางเข้าไปทัศนศึกษาในบริเวณป่าปิดได้ เนื่องจากทางอุทยานฯ มีความพร้อมเกี่ยวกับจำนวนเจ้าหน้าที่ที่จะนำทางและดูแลความปลอดภัย หากเป็นช่วงปลายปีหรือต้นปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก ทางอุทยานฯ จึงไม่สะดวกที่จะแบ่งปันเจ้าหน้าที่ให้ติดตามนักท่องเที่ยวไปยังในป่าปิดได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทางอุทยานฯ เปิดหรือปิดการเดินทางทัศนศึกษาในเขตป่าปิด
อีกเหตุผลหนึ่งคือป่าปิดมีพื้นที่รวมแล้วคิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ นั่นหมายความว่าส่วนที่เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวทั่วไปนั้นคิดเป็นเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ป่าปิดจึงเป็นป่าขนาดใหญ่ มีความบอบบางทางธรรมชาติและอันตรายค่อนข้างมาก ป่าปิดเป็นที่อยู่ของสัตว์ใหญ่นานาชนิด การเดินเท้าเข้าไปเป็นไปด้วยความยากลำบาก เส้นทางที่รกชัฏ ป่าทึบ บางช่วงเป็นหุบเหว ถ้ำธาร ระยะทางไปกลับถูกออกแบบเป็นวงกลม มีอยู่ 2 เส้นทาง แต่ละเส้นทางมีระยะทางไปกลับประมาณ 14 และ 23 กิโลเมตร ต้องเดินทางไปกลับภายในวันเดียว ผู้เดินทางเข้าไปต้องมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง สามารถดูแลตัวเองได้ หากประสบอุบัติเหตุในป่าลึกจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากทีเดียว
ทริปนั้นวันแรกผมเลือกเส้นทาง 14 กิโลเมตร โดยเริ่มจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ผ่านองค์พระพุทธเมตตา มุ่งหน้าสู่น้ำตกขุนพองซึ่งเป็นไฮไลท์ของเส้นทาง น้ำตกขุนพองเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำพอง บริเวณน้ำตกมีต้นเมเปิลดังที่เราเคยเห็นในภาพหรือโปสการ์ดของภูกระดึง ที่เป็นภาพน้ำตกขนาดใหญ่แล้วมีต้นเมเปิดอยู่ด้านข้างน้ำตก ช่วงฤดูหนาวจะทิ้งใบสีแดงล่วงหล่นมาติดอยู่ตามโขดหิน สวยงามเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีน้ำตกใดเสมอเหมือน
เมื่อเดินถัดลงไปด้านล่างจะเป็นน้ำตกหงษ์ทองซึ่งมีขนาดเล็กกว่า จากนั้นเดินขึ้นไปตามทางสู่บริเวณที่เรียกกว่ากำแพงเมืองจีนที่ผ่านกาลเวลาก่อตัวเป็นชั้นหินยาว จนมีคนเปรียบเปรยว่ายิ่งใหญ่คล้ายกำแพงเมืองจีน แล้วเดินผ่านทุ่งหญ้ามุ่งหน้าสู่ลานพระพุทธเมตตา รวมเวลาเดินเท้าตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ เราหมดเวลาของวันส่วนใหญ่ไปกับการแหวกพงหญ้าทางเดิน การถ่ายภาพเก็บรายละเอียด และที่ใช้เวลามากที่สุดคือช่วงเดินขึ้นจากน้ำตกหงษ์ทองมาสู่พื้นราบด้านบน เนื่องจากจะต้องปีนป่ายอยู่หลายจุด อีกทั้งมีฝนตกลงมาในช่วงบ่ายทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเป็นอย่างมาก
ส่วนเส้นทางที่สองนั้น ระยะทาง 23 กิโลเมตร โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ผาส่องโลก น้ำตกผาน้ำผ่า เอาไว้โอกาสหน้าจะมาเล่าให้ฟังนะครับ สำหรับทริปนี้ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน คงจะอีกนานแสนนานกว่าเราจะได้พบกันอีกครับ ภูกระดึง
ขอขอบคุณ
· เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงทุกๆ ท่าน
· เพื่อนร่วมทริปที่น่ารักทุกท่าน ระลึกถึงเสมอ