ปูพรม 8 จุด ทลายแก๊งคอลฯ ยึดเครื่อง IP PBX ส่งสัญญาณจากไทยไปต่างประเทศ
วันที่ 6 ก.ค.65 พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท., นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกันแถลงข่าวกรณีจับกุมผู้ต้องหาแก็งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรศัพท์หลอกลวงข่มขู่ให้ผู้เสียหายโอนเงิน หลังเปิดยุทธการดินแดง บางนา internet protocal ปิดล้อมตรวจค้น 8 จุด ในพื้นที่เขตบางนา ห้วยขวาง และลาดพร้าว
พล.ต.ท.กรไชย กล่าวว่า สืบเนื่องจากผู้เสียหายถูกคนร้ายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ โทรศัพท์เข้ามาแจ้งว่าผู้เสียหายมีใบสั่งค้างชำระค่าปรับจราจร แจ้งว่าส่งพัสดุที่ผิดกฎหมาย ต้องโอนเงินไปชำระ หรือต้องโอนเงินไปตรวจสอบแล้วแต่กรณี ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปให้มิจฉาชีพ ต่อมาทราบว่าถูกหลอกลวงจึงดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ และได้ร้องเรียนผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center
ต่อมา บช.สอท. ตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลในระบบรับแจ้งความออนไลน์พบว่า กรณีดังกล่าวมีความเชื่อมโยงเชื่อมกันกับผู้เสียหายอีกหลายราย เชื่อว่าเป็นกลุ่มคนร้ายกลุ่มเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวนสอบสวน รวมถึงประสานงานกับฝ่ายเทคนิคผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่คนร้ายใช้หาเบาะแสเพิ่มเติม กระทั่งทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสุรชาติ แซ่โจ จึงได้ขอศาลออกหมายจับ
กระทั่งวันนี้ ตำรวจ บช.สอท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจค้นสถานที่ต่างๆ ผลการปฏิบัติสามารถจับกุม นายสุรชาติ ได้ที่พีอาร์แมนชั่น ซอยบางนาตราด 21 แขวงบางนา เขตบางนา กทม. โดยขณะตรวจค้นยังพบผู้ต้องสงสัยอีก 4 ราย และตรวจยึดของกลางเครื่องสัญญาณ IP PBX จำนวน 43 เครื่อง เครื่องส่งสัญญาณไร้สาย wireless router จำนวน 30 เครื่อง และของกลางอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายรายการ เช่น สมุดบัญชีธนาคาร และโทรศัพท์มือถือ
จากแนวทางสืบสวนพบ นายสุชาติ มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลเครือข่าย โดยได้รับค่าจ้างโอนเข้าบัญชาจากต่างประเทศ เดือนละ 20,000 บาท และสามารถตรวจยึดอุปกรณ์เราต์เตอร์ได้รวม 43 เครื่อง แต่ละเครื่องสามารถบรรจุซิมได้ 32 ซิม โทรได้ซิมละ 500 ครั้งต่อวัน ดังนั้น ใน 1 เดือน จะสามารถโทรได้ถึง 20 ล้านครั้ง คิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรในประเทศไทยที่จะถูกมิจฉาชีพโทรไปหลอกลวง โดยเครือข่ายดังกล่าวได้เริ่มทำมาตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา มีหัวหน้าผู้บงการเป็นชาวต่างชาติ ขณะนี้ทราบสัญชาติแล้ว อยู่ระหว่างขยายผลเพื่อจับกุม
พล.ต.ท.กรไชย กล่าวว่า การจับคุมครั้งนี้อาศัยความร่วมมือจากระบบ AIS Spam Report Center และร่วมกับ กสทช. ในการหาพิกัดของเครื่องส่งสัญญาณ ซึ่งวิธีการนี้ทำให้มิจฉาชีพในปัจจุบัน สามารถใช้เบอร์ประเทศไทยโทรศัพท์มาได้ แม้ผู้ที่โทรจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยก่อนหน้านี้ที่มิจฉาชีพใช้เบอร์ +697 โทรมา แต่คนเริ่มรู้ทันไม่รับสาย จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้ โดยวิธีการคือการนำซิมเบอร์โทรศัพท์ปกติใส่เข้าไปในเครื่องนี้ และส่งสัญญาณ 4 จี หรือ 5 จี ออกไปนอกประเทศ ให้ผู้ที่เป็นคอลเซ็นเตอร์ที่ทำงานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านใช้โทรมาคุยกับประชาชนในประเทศไทย โดยไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ในการโทรข้ามประเทศ จากนี้จะตรวจสอบว่าเหตุใดจึงมีการนำเข้าเครื่องส่งสัญญาณได้ และจะนำซิมโทรศัพท์มือถือที่ตรวจยึดได้ทั้งหมด ไปตรวจสอบชื่อผู้จดทะเบียนต่อไป ซึ่งจะมีความผิดด้วยคล้ายกับบัญชีม้า
ขณะที่ นายไตรรัตน์ กล่าวว่า พฤติการณ์ของเครือข่ายคอบเซ็นเตอร์นี้ จะมาเช่าห้องพัก และใช้อุปกรณ์คล้ายตัวจ่ายไฟ เป็นเราท์เตอร์สำหรับใส่ซิมและส่งสัญญาณออกไป ซึ่งเครื่องส่งสัญญาณดังกล่าว หากจะมีการนำเข้ามาใช้ ต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และการลักลอบนำเข้าประเทศมา ก็ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ด้วย
ด้าน นางสายชล กล่าวว่า ที่ผ่านมา เอไอเอสพยายามที่จะสื่อสาร ให้ความรู้กับประชาชนในการตรวจสอบแยกแยะสายโทรศัพท์ของมิจฉาชีพ แต่มิจฉาชีพยังคงมีกลไก เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ จึงได้เปิดศูนย์ 1185 Spam Report Center ขึ้นมา โดยทำงานใกล้ชิดกับตำรวจไซเบอร์ ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสเบอร์โทรของมิจฉาชีพ ซึ่งมีประชาชนแจ้งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทีมเทคโนโลยีจึงตรวจสอบหมายเลขที่ได้รับแจ้ง และส่งต่อข้อมูลให้ตำรวจไซเบอร์และ กสทช. ขยายผล จนสามารถจับพิกัดของเครือข่ายที่เป็นแหล่งกำเนิดสัญญาณได้
อย่างไรก็ตามจากกรณีปัญหามิจฉาชีพละเมิดการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชาชน ที่สร้างความเดือดร้อน รำคาญ ไปจนถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันเกิดเพิ่มขึ้นตามลำดับ ดังนั้นในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล ที่มีเป้าหมายสูงสุดคือ การปกป้องข้อมูลและการใช้งานระบบสื่อสารของลูกค้า ที่ผ่านมานอกเหนือจากการพัฒนาดิจิทัลเซอร์วิสเพื่อช่วยป้องกันภัยไซเบอร์ อาทิ AIS Secure Net , Google Family Link ที่สามารถดูแลการใช้งานโทรศัพท์มือถือให้อยู่บนความปลอดภัยจากสแปม,ฟิชชิ่ง,ไวรัสแล้ว เรายังได้ร่วมทำงานกับภาครัฐ อย่าง กสทช.และฝ่ายความมั่นคงอย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ ผ่านบริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
ซึ่งจากการที่จับกุมมิจฉาชีพแก็งคอลล์เซ็นเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นผลจากการร่วมทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อ โดยเอไอเอส ยินดีที่จะสนับสนุนและร่วมทำงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องลูกค้าและประชาชนจากมิจฉาชีพที่จะถูกดำเนินการทางกฎหมาย อย่างไรก็ตามบริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ทำหน้าที่เป็นสายด่วน รับเรื่องร้องเรียนจากลูกค้าเอไอเอส ในกรณีถูกมิจฉาชีพโทรเข้ามารบกวน หรือได้รับ SMS Spam ให้สามารถโทรเข้ามาแจ้งได้ฟรี ผ่าน IVR Self Service และ AI Chatbot เพื่อให้ข้อมูลเบอร์โทรหรือ SMS ที่คาดว่าเป็นกลุ่มมิจฉาชีพ โดยเอไอเอสจะดำเนินการตรวจสอบถึงที่มารายละเอียดการจดแจ้งลงทะเบียน รูปแบบการโทรของเบอร์ดังกล่าว ซึ่งจะบ่งชี้ได้ว่าเป็นเบอร์หรือ SMS ของกลุ่มมิจฉาชีพหรือไม่ หลังจากนั้นจะดำเนินการบล็อกเบอร์และ SMS นั้นๆ โดยทันที พร้อมแจ้งกลับไปยังลูกค้าภายใน 72 ชั่วโมง