ประจำเดือนขาด มาไม่ปกติ เป็นเพราะอะไร ควรทำอย่างไร ?

Home » ประจำเดือนขาด มาไม่ปกติ เป็นเพราะอะไร ควรทำอย่างไร ?
ประจำเดือนขาด มาไม่ปกติ เป็นเพราะอะไร ควรทำอย่างไร ?

มีคำถามจากทางบ้านถามเข้ามาในหน้า Ask Expert ว่า “ประจำเดือนขาด ตั้งแต่เมษายน จนปัจจุบันก็เดือนพฤศจิกายนแล้ว แต่ไม่มีอาการแบบคนท้อง แบบนี้ปกติไหมคะ?” เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนเคยมีประสบการณ์เดียวกันนี้มาบ้างแล้ว แต่อาจไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร งั้นวันนี้มาดูคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลย

ประจำเดือน (Mense) คือ เลือดที่ไหลออกจากโพรงมดลูก พร้อมเยื่อบุโพรงมดลูกที่ตายแล้วหลุดลอก หลุดและแตกสลาย เกิดเป็นรอบประจำเดือนตามปกติทุก 21-36 วัน (นับจากวันแรกของประจำเดือน)

ประจำเดือนขาด (Amenorrhea / Missed Period) คือ ภาวะที่ประจำเดือนขาด หรือไม่มาตามปกติ โดยประจำเดือนต้องหายไป 3 เดือน ถึงจะเรียกได้ว่า “ภาวะประจำเดือนขาด” หาก ประจำเดือนขาดไปเพียง 1-2 เดือน จะเรียกว่า ภาวะประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด

ประจำเดือนขาด แบ่งได้ 2 ประเภท

  1. ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary Amenorrhea) คือ ผู้หญิงอายุ 18 ปีแล้ว แต่ยังไม่เริ่มมีประจำเดือน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้หญิงมักจะเริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุ 12 ปี
  2. ภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary Amenorrhea) คือ ผู้หญิงที่เคยมีประจำเดือนมาก่อน แต่ต่อมาประจำเดือนขาดหายไปอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 3 รอบเดือน

และจากคำถามทางบ้าน ที่ประจำเดือนขาดมาถึง 6 เดือน จึงเข้าข่ายภาวะขาดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ นั่นเอง

สาเหตุการขาดประจำเดือน

  • การตั้งครรภ์ เป็นสาเหตุที่พบบ่อย และเป็นสาเหตุที่คนส่วนใหญ่จะสงสัยเป็นสาเหตุแรก ๆ เมื่อประจำเดือนขาดหายไป ซึ่งหากอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และมีพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์อยู่แล้วในช่วงก่อนประจำเดือนขาด อาจเป็นสาเหตุให้ประจำเดือนขาด ซึ่งถือว่าไม่ใช่ความผิดปกติ สามารถตรวจเบื้องต้นได้เอง โดยการตรวจปัสสาวะด้วยที่ตรวจการตั้งครรภ์ หรือไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจครรภ์เพื่อให้ได้ผลยืนยันชัดเจน
  • ความเครียด วิตกกังวล อาจทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ ประจำเดือนอาจขาดหายไปได้คราวละหลาย ๆ เดือน เนื่องจากความเครียดนั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์และการมีประจำเดือน
  • โรควิตกกังวล (Anxiety disorders) โรคอารมณ์แปรปรวน (Mood disorders) ทำให้ประจำเดือนขาด ไม่มีความรู้สึกทางเพศ
  • ใช้ยาคุมนานเกินไป การใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด การฉีดยาคุมกำเนิด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนขาดได้เป็นธรรมดา
  • ช่วงให้นมลูก คุณแม่หลายคนที่คลอดลูกแล้ว ประจำเดือนอาจจะยังไม่มา หรือ ประจำเดือนขาดอยู่ เพราะเป็นช่วงหลังคลอด หรือช่วงให้นมลูกอยู่ ซึ่งในช่วงหลังคลอด หรือแม้แต่หลังแท้งลูก ถ้ายังมีน้ำนมอยู่ก็เป็นเรื่องปกติที่ประจำเดือนจะยังไม่มาจนกระทั่งหย่านม
  • วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือน (Menopausal syndrome) โดยเมื่ออายุมากขึ้น ในช่วงวัยประมาณ 40 – 59 ปี ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง เนื่องจากรังไข่หยุดทำงาน ซึ่งทำให้สิ้นสุดการมีประจำเดือนอย่างถาวร
  • มีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง เนื้องอกของต่อมใต้สมอง หรือแม้แต่เนื้องอกบริเวณใกล้ ๆ ต่อมใต้สมอง ก็อาจเป็นสาเหตุให้ประจำเดือนขาดได้ โดยเนื้องอกของต่อมใต้สมองที่เรียกว่า พิตูตารี่แกลนด์ (Pituitary gland) อาจทำให้ร่างกายมีความผิดปกติ เช่น รูปร่างโตผิดปกติ ประจำเดือนขาดหายไป
  • ระดับฮอร์โมนผิดปกติ รังไข่ที่สร้างฮอร์โมน ไม่ว่าจะสร้างฮอร์โมนมาก หรือน้อยก็เป็นสาเหตุให้ประจำเดือนขาดได้ หากสร้างฮอร์โมนอีสโตรเจน กับ โปรเจสเตอโรนน้อยเกินไป ก็ไม่พอที่จะไปกระตุ้นให้มีประจำเดือนออกมา หรือ หากรังไข่สร้างฮอร์โมนเพศชายมามากเกินไป ก็ทำให้ประจำเดือนขาดหายไปได้เช่นกัน
  • น้ำหนักเพิ่มหรือลดมากเกินไป ผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวเพิ่ม หรือลดมากเกินไปอาจเกิดอาการประจำเดือนไม่มา โดยเฉพาะเมื่ออดอาหาร หรือลดน้ำหนักเร็วเกินไป อาจทำให้ไม่มีสารอาหารไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ไข่ตก ส่วนคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรืออ้วนมากนั้น จะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมาก ซึ่งส่งผลต่อรอบเดือน และทำให้ประจำเดือนไม่มา
  • ออกกำลังกายมากเกินไป ผู้หญิงที่ออกกำลังกายมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะขาดประจำเดือน เนื่องจากร่างกายสูญเสียไขมันมากเกินไป โดยผู้หญิงที่อายุ 16 ปี ต้องมีไขมันในร่างกายประมาณ ร้อยละ 22 ของน้ำหนักตัว เป็นอย่างน้อย จึงสามารถคงรอบประจำเดือนตามปกติได้ ดังนั้นในผู้หญิงที่มีไขมันในร่างกายน้อย หรือผอมเกินไป อาจทำให้ขาดประจำเดือนได้เช่นกัน
  • โรคเกี่ยวกับมดลูก เช่น ฉายแสงที่มดลูกเพื่อรักษามะเร็ง หรือเป็นโรคบางชนิดของตัวมดลูกเอง เช่นเป็นวัณโรคของเยื่อบุมดลูก
  • แท้ง แล้วตัดขูดมดลูก ผนังมดลูกได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไป จนเกิดเป็นแผลเป็นข้างใน ติดกันเป็นพังผืด แบบนี้ก็เป็นเหตุของการขาดประจำเดือนได้เช่นกัน
  • ป่วยเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคของต่อมไธรอยด์ โรคของตับอ่อน และโรคของต่อมหมวกไต

    คุณ ๆ ที่กำลังไม่สบายเป็นไข้อะไรก็ตามแต่ อาจทำให้ประจำเดือนขาดหายไปชั่วคราวได้ แต่พอโรคนั้นหายแล้ว ประจำเดือนก็จะมาเป็นปกติ โรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น วัณโรคปอดก็ทำให้ประจำเดือนขาดหายไปได้

  • ถุงน้ำรังไข่หลายใบ ภาวะนี้เกิดจากรังไข่มีถุงน้ำรังไข่เป็นจำนวนมาก โดยถุงน้ำเหล่านี้จะไม่ปล่อยไข่ให้ตกออกมา

ประจำเดือนขาด มีผลเสียอย่างไร?

  • เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น หากประจำเดือนขาดเป็นเวลานาน อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น ซึ่งวันดีคืนดีอาจส่งผลให้มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ และหากปล่อยไว้ อาจมีความเสี่ยงเกิดมะเร็งมดลูกได้
  • มีลูกยาก หากอยากมีลูก แต่อยู่ในภาวะที่ประจำเดือนขาด ก็อาจจะต้องปรึกษาแพทย์ เพราะส่งผลกับการมีลูกด้วยวิธีธรรมชาติอาจจะทำไม่ได้
  • อาจมีอาการเจ็บป่วยแฝงอยู่ในร่างกาย ซึ่งการขาดประจำเดือน เป็นอาการหนึ่งของโรค หรือความผิดปกตินั้น จึงควรต้องเข้ารับการตรวจ รักษา
  • กระดูกพรุน มวลกระดูกลดลง การขาดประจำเดือน ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนสำคัญต่อการดูดซึมแคลเซียมทั้งที่ไต และระบบทางเดินอาหาร เพื่อนำไปใช้ในการเสริมสร้างกระดูก การมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำนาน ๆ จึงมีผลให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง หรือในระยะยาวอาจเกิดภาวะกระดูกพรุนได้

ประจำเดือนขาด ต้องทำอย่างไร?

  • ผ่อนคลาย ไม่เครียด ความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประจำเดือนขาดได้ ควรพยายามทำร่างกาย และจิตใจให้ผ่อนคลาย อาจจะไปเที่ยว ทำงานน้อยลง ทำจิตใจให้สบาย ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
  • หมั่นสังเกตร่างกาย เมื่อประจำเดือนเริ่มหายไปแม้เพียงเดือนเดียว ควรเริ่มจดบันทึกเพื่อดูว่าประจำเดือนหายไป หรือแค่มาช้ากว่ากำหนด และคอยสังเกตความผิดปกติของร่างกาย เช่น มีน้ำนมไหลออกมาทั้งที่ไม่ตั้งครรภ์หรือไม่ มีอาการปวดท้องผิดปกติ มีขน มีหนวดขึ้นผิดปกติ หรือไม่
  • ไม่หักโหมออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายด้วยความเหมาะสม ไม่ออกกำลังกายหนัก หรือมากเกินไป โดยเฉพาะหากเป็นผู้หญิงที่ผอม มีไขมันน้อย อาจจะเน้นการออกกำลังกายที่เน้นการเพิ่มกล้ามเนื้อ แทนการออกกำลังกายที่ออกแรงเยอะ ๆ เพื่อลดไขมัน เช่น อาจจะโยคะ แทนการวิ่ง
  • ควบคุมน้ำหนัก ให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ไม่อ้วนไป หรือผอมไป หากรู้ตัวว่าผอม หรือมีสัดส่วนไขมันในร่างกายน้อย ควรรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มน้ำหนัก เน้นอาหารที่เพิ่มไขมันดี หรือหากน้ำหนักตัวเยอะ อาจจะค่อย ๆ ลดน้ำหนัก แต่ไม่ควรอดอาหาร หรือลดน้ำหนักเร็วเกินไป
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ รับประทานให้ครบ 3 มื้อ และ เน้นอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาจจะเน้นอาหารที่มีธาตุเหล็ก แคลเซียม เพิ่มขึ้น
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เป็นต้น
  • พบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย นอกจากการปรับพฤติกรรมแล้ว หากประจำเดือดขาดหายไป ควรไปพบแพทย์ หรือ สูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่ประจำเดือนหายไป ว่าเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ เพื่อตรวจรักษา โดยแพทย์จะซักประวัติ ตรวจภายใน อัลตราซาวด์ ตรวจดูระดับฮอร์โมน ฯลฯ

เมื่อประจำเดือนขาด ควรรักษาอย่างไร?

การรักษา “ภาวะประจำเดือนขาด” นั้น รักษาได้หลายวิธี โดยต้องหาสาเหตุให้พบว่าเกิดจากอะไรกันแน่ เช่น

  • กินยาฮอร์โมนเสริม หากเกิดจากสาเหตุเช่น ผอมเกินไป อ้วนเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุที่ไม่ใช่ความผิดปกติหรือเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ เบื้องต้นเพื่อให้ประจำเดือนมาปกติ คุณหมออาจจ่ายยาฮอร์โมน ซึ่งเป็นตัวยาเดียวกับยาเลื่อนประจำเดือนที่เราคุ้นเคย ซึ่งเมื่อกินยาแล้ว จะทำให้ประจำเดือนมาได้ โดยอาจให้กินยาเป็นประจำในช่วงเดียวกันของทุก ๆ เดือน ประมาณ 6 เดือน เพื่อให้ประจำเดือนมาปกติ ให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมา และหลังจากนั้นให้ลองดูว่าประจำเดือนมาได้เองโดยไม่จำเป็นต้องกินยาหรือไม่
  • กินยาคุมกำเนิด หากมีความผิดปกติ เช่น ถุงน้ำรังไข่หลายใบ แพทย์อาจจ่ายยาคุมกำเนิดแบบเม็ด หรือยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อช่วยรักษาอาการ
  • รักษาอาการป่วยอื่น ๆ หากตรวจวินิจฉัยแล้ว พบว่าการขาดหายไปของประจำเดือนเกิดจากความผิดปกติ เช่น เนื้องอกต่อมใต้สมอง มีมดลูกผิดปกติ ก็รักษาโรค หรือ อาการเจ็บป่วยนั้น ๆ เมื่อรักษาหายแล้ว ประจำเดือนก็จะกลับมาได้ตามปกติ

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ