ปกรณ์วุฒิ แฉ ศักดิ์สยาม แจ้งทรัพย์สินเป็นเท็จ ซุกหุ้น ก่อนขึ้นนั่งรมต. ยืมชื่อลูกจ้างเป็นนอมินีถือหุ้น พร้อมนำบริษัทรับงานกระทรวงคมนาคม
เมื่อเวลา 16.40 น. วันที่ 19 ก.ค.2565 ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมว่า นายศักดิ์สยาม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติกรรมใช้อำนาจหน้าที่ แสวงหาผลประโยชน์กับตนเองและพวกพ้อง ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง และใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า นายศักดิ์สยาม ปกปิดทรัพย์สินของตัวเอง ในส่วนที่เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยใช้ลูกจ้างเป็นนอมินี และจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นการปกปิดทรัพย์สิน เป็นการทรยศต่อประชาชน
โดยห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ก่อตั้งในปี 2539 โดยมีตระกูลชิดชอบ ถือหุ้น 80% และที่ตั้งสำนักงานก็คือบ้านของ นายศักดิ์สยาม ในขณะนั้น เมื่อมีตำแหน่งทางการเมือง ก็ออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น หจก.นี้ทั้งหมด และย้ายสำนักงานไปที่อื่น พอยุค คสช. นายศักดิ์สยาม ก็กลับมาเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของ บุรีเจริญ ในปี 2558 โดยเพิ่มทุนเป็น 120 ล้านบาทและย้ายที่ตั้งสำนักงานมาที่บ้านหลังใหม่ของตัวเอง
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จนเมื่อปี 2561 ที่มีข่าวการเลือกตั้ง นายศักดิ์สยาม ก็โอนหุ้นทั้งหมดไปให้ นอมินีในวันรุ่งขึ้นทันที และย้ายที่ตั้งสำนักงานบุรีเจริญออกจากบ้านของตัวเอง ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 23 วัน
นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อคนถือหุ้นให้ลูกจ้างมาเป็นนอมินี หรือมีการซื้อขายหุ้นจริง เพราะไม่พบหลักฐานว่ามีการชำระเงินค่าหุ้นเลย หากมีการซื้อขายกันจริง ไม่ว่าจะซื้อขายต่ำกว่า สูงกว่าราคาทุนที่ 120 ล้านบาท นายศักดิ์สยาม หรือ ผู้ถือหุ้นคนใหม่ ก็จำเป็นต้องยื่นมูลค่าหุ้นส่วนเกินเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีหรือหากซื้อขายเท่าราคาทุน นายศักดิ์สยาม ก็ต้องระบุเงินที่ได้จากการขายหุ้นเป็นทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. แต่ก็ไม่ปรากฏเงินก้อนนี้ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่น ป.ป.ช. ในปี 2562
“ในปี 62 ท่านยื่นทรัพย์สินในการเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ว่ามีทรัพย์สินอยู่ที่ 115 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน มีเงินสดบวกเงินฝากอยู่ 76 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ เกือบทั้งหมดระบุว่าได้มาก่อนปี 61 แทบทั้งสิ้น คำถามคือ เงิน 120 ล้านบาทก้อนนี้หายไปไหน” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
นอกจากนี้ นายศักดิ์สยาม ยังนำ หจก.บุรีเจริญ มาเป็นคู่สัญญากับรัฐ รับงานในกระทรวงคมนาคมที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรี เป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยหลายงานมีความผิดปกติ คือ ราคาที่ชนะประมูลต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยไม่ถึง 0.3% และมีคู่เทียบเพียงรายเดียว ซึ่งเป็นบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 5 ล้านบาทในปี 2562 แบบนี้เอาไปให้ใครดู เขาก็ว่าฮั้ว อาธุรกิจตัวเองเข้ามารับงานกระทรวงที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรีก็ว่าผิดแล้ว ยังมีพฤติกรรมฮั้วประมูลอย่างชัดเจน
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ชื่อที่ปรากฏในสัญญาว่ารับหุ้นของหจก.ดังกล่าวทั้งหมดเป็น นายเอ คนเดียวกับที่นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ บอก คนเดียวกับที่เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกพิพาทเขากระโดง ซึ่งซื้อต่อจากพ่อของนายศักดิ์สยาม และซื้อหุ้น หจก.บุรีเจริญ ทั้งหมดมาจาก นายศักดิ์สยาม ได้
จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า คนนี้เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในธุรกิจ 4 แห่ง แต่มีสถานะทิ้งร้างไป 3 แห่ง ส่วนอีกแห่งที่เหลือไม่มีรายได้เลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และข้อมูลจากประกันสังคมและกรมสรรพากรในช่วงปี 2558-2563 ยังพบว่า เขาแสดงรายได้เพียงปีละ 100,000 บาท หรือเดือนละ 9,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินเดือนที่ได้รับจาก บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) ธุรกิจครอบครัวของตระกูลชิดชอบ มาตั้งแต่ปี 2558 ไล่เลี่ยกับช่วงที่ นายศักดิ์สยาม เป็นกรรมการบริษัท ศิลาชัย
นอกจากนี้ งบดุลของบริษัทศิลาชัยในปี 2561-2562 ยังระบุว่า ลูกจ้างคนนี้กลายมาเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ระยะยาว 221.5 ล้านบาทของบริษัท จนปี 2564 สรุปสุดท้าย บริษัทนี้เป็นหนี้ลูกจ้างอยู่ 250.2 ล้านบาท และขณะที่บริษัทศิลาชัยจะขาดทุนและติดหนี้ก้อนโตกับคนนี้ ในปี 2562 บริษัทศิลาชัยยังบริจาคให้พรรคภูมิใจไทยไป 4.7 ล้าน ก็บริจาคให้พรรคไปอีก 2.77 ล้านบาท พร้อมกับให้ หจก.บุรีเจริญ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ บริจาคให้พรรคไป 4.8 ล้านบาท และในปี 2563-2564 ยังให้บริษัทศิลาชัย กู้เพิ่มอีก 100 กว่าล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นการกู้เงินไม่มีสัญญา ไม่คิดดอกเบี้ยใดๆ
“ถ้าเราลองเปลี่ยนชื่อ พฤติการณ์นี้ทั้งหมดจาก นายเอ เป็นนายศักดิ์สยาม และบริษัทศิลาชัยเป็นเหมือนกงสี ทุกอย่างก็ดูเรียบง่าย ตัวเลขกำไรขาดทุนก็อาจไม่สำคัญมากนัก ถึงบริษัทจะขาดทุนและเป็นหนี้อยู่เป็นร้อยล้าน แต่ก็เป็นหนี้คนในครอบครัว เอาเงินไปบริจาคให้พรรคตัวเองก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลก พฤติกรรมที่แปลกประหลาดนี้แค่เราเปลี่ยนชื่อนายเอ เป็นนายศักดิ์สยาม ทุกอย่างก็ดูเรียบง่าย ทั้งหมดบงชี้ให้เห็นว่านายเอเป็นเพียงนอมินีเท่านั้นเอง” ปกรณ์วุฒิ กล่าว