ตูมตาม พร้อมแต่ง อาหลี หมั้นไว้ก่อนให้เวลาฝ่ายหญิง 3 ปี
วันที่ 20 เม.ย. ที่ ศาลพระพิฆเนศ ลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มีการจัดพิธีบวงสรวงละคร “บัลลังก์ลูกทุ่ง” นักแสดงหนุ่ม ตูมตาม ยุทธนา เปื้องกลาง มาร่วมพิธีในฐานะนักแสดงนำ จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่คุกเข่าขอแฟนสาว อาหลี อัฐริญญา แต่งงานเป็นการสร้างความมั่นใจให้ฝ่ายหญิง พร้อมเผยแผนการจัดงานแต่งว่าพร้อมเมื่อไหร่
ปีนี้ละครกี่เรื่อง? “หลังจากนี้รันอีก 3 เรื่อง ได้ออนแอร์ประมาณ2 เรื่องปีนี้ ไปจนถึงปี 66” (คือคิวแน่นแล้ว?) “จริงๆ แล้วมันยาวมาก รับไม่ไหวเลยครับ เราเป็นนักแสดงเนอะ ปีนี้เราทำงานก็คือทำหน้าที่นักแสดงจริงๆ แค่นั้นเอง งานก็เลยเข้ามาเยอะมากในเรื่องของการแสดง
แต่ไม่ได้รับหมดครับ อันนี้ต้องขออภัยผู้จัดหลายๆ คนด้วยจริงๆ เพราะว่าคิวมันทับซ้อน ผมอยากทำงานให้ดี อยากทำงานให้คุ้มค่ากับที่เขาจ้างผม เพราะฉะนั้นผมเลยรู้สึกว่ารับทีละเรื่องแล้วโฟกัสให้ได้ทีละเรื่องอะไรแบบนี้ดีกว่า จะได้คุณภาพจริงๆ”
วางคิวไว้ยังไงบ้าง? “วุ่นวายเหมือนกัน จริงๆ แล้วผมโชคดีที่ผมไม่เคยติด ผมรอดทุกซีซั่นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ออกไปเจอคนเยอะด้วย อยู่แต่บ้าน มันก็มีโมเมนต์นั่งรอ เพื่อนนักแสดงบางคนติดโควิดเราก็มีพักกองอะไรบ่อยๆ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่ามันคาบเกี่ยวแล้วก็ทำให้ระยะเวลาเลื่อนไปอีกเรื่อยๆ แต่ก็เข้าใจเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ใครไม่อยากให้เกิด”
คิวมันจะรันไหมหลายอย่างก็เลื่อนไป? “เลื่อนครับ แต่ว่าไม่ได้มีอะไรเพราะว่าต้องบอกอย่างนี้ อีเวนต์ต่างๆเลื่อนหมดอยู่แล้ว มียกเลิกไปเลยก็มี เพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีอะไรทับซ้อนมาก มีแต่เรื่องของละครที่ต้องเคลียร์ แล้วละครมันคือการทำงานของคนหมู่มาก มันจำเป็นมากที่จะต้องเคลียร์สถานการณ์ให้ปลอดภัยจริงๆ ถึงเริ่มงานกัน”
เร่งทำงานเพราะเก็บเงินค่าสินสอดหรือเปล่า? “ก็รอไปเรื่อยๆ (หัวเราะ) หมายถึงว่าทำงานไปเรื่อยๆ ก่อน เพราะว่าจริงๆ แล้วเราแต่งงานต้องรอเจ้าตัวพร้อมด้วยนะ คือขอเขาไว้ก่อน ผมถือว่าขอหมั้นอะไรแบบนี้ เรารักเขา เรารักกัน
เรารู้สึกว่าเจตนามันโอเคแล้วทั้งหมด ที่เหลือคือจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องอื่น ใช้ชีวิตกันไปทำงานกันไป ถึงเวลาที่เหมาะสม ยิ่งช่วงเวลาแบบนี้ผมว่าในการจะทำอะไรหลายๆ อย่าง มันต้องดูสถานการณ์บ้านเมืองด้วย เพราะเราใช้ชีวิตไม่ได้ปกติกัน”
อยากให้เขามั่นใจ? “ใช่ครับ อยากให้มั่นใจ ใช้ชีวิตไปแล้วก็ทำงานให้มีความสุขยังไงเราก็ต้องไปถึงวันนั้นแน่ๆ”
เล่าโมเมนต์ตอนนั้นหน่อย? “ปกติมากครับ จริงๆ ผมแค่รู้สึกว่า มันไม่ได้มีอะไรที่เป็นเรื่องความพิเศษมากกว่า แค่รู้สึกอยากให้เขาได้ในทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรจะได้รับ”
เขารู้มาก่อนไหมว่าเราจะขอเขาในวันนั้น? “รู้ (หัวเราะ) ผมเป็นคนปิดไม่เนียน (ยิ้ม) แต่พอถึงโมเมนต์จริงๆ ก็ตื่นเต้นกันแหละ” (วางแผนยังไงตอนนั้น?) “ไม่ได้เตรียมอะไรเลยครับ ซื้อแหวนก็พอแล้ว”
ไปขอที่ไหน? “สะพานพุทธครับ (หัวเราะ) สงสัยดูหนังฝรั่งเยอะ ชอบขอตามสะพาน (หัวเราะ) เราก็อินดี้กันมากไม่มีการเตรียมงานอะไรทั้งสิ้น ก็ตั้งกล้องถ่ายกันเองเพราะว่าผมถ่าย Vlog อยู่แล้ว ถ่ายยูทูบอยู่แล้ววันนั้นก็ไปถ่ายกัน ก็คุยกันเรื่อยๆ สุดท้ายก็ขอ”
แล้วพูดอะไรกันบ้าง? “ไม่ได้พูดอะไรมากครับ แค่บอกว่าเราแต่งงานกันไหมแค่นั้นเลย” (เขาตกใจไหม?) “ก็อึ้งๆนะ แต่ก็ไม่มาก เขารู้เยอะกว่าผมอีก (หัวเราะ)”
เขาเล่าให้ฟังไหมว่าจับไต๋เราได้? “จริงๆ ก็บอกว่ารู้อยู่แล้วแหละ อยู่ดีๆ ชวนไปซื้อดอกไม้ ก็โอเคๆ แต่อันนั้นไม่สำคัญมาก แต่สำคัญตรงที่ว่าเรื่องระหว่างผมกับน้องเราค่อนข้างคุยกันตลอดเวลา ค่อนข้างที่จะปรึกษาหารือกันแทบทุกเรื่องมันเลยทำให้ทุกอย่างที่เราตัดสินใจทำต่างๆ นานา มันส่วนตัวมาก มันหลบหลีกยากมากที่เขาจะไม่รู้”
อะไรที่ทำให้เรามั่นใจที่จะขอผู้หญิงคนนี้แต่งงาน? “ผมรู้สึกว่ามันตั้งแต่จุดเริ่มต้น ก่อนที่จะมีความรักครั้งนี้ผมเคยให้สัมภาษณ์กับพี่นักข่าวไปแล้วว่า มันเกิดขึ้นยากมากในความรักครั้งนี้เพราะว่าผมคิดเยอะมาก เตรียมการเยอะมากแล้วก็รู้สึกว่าถ้าไม่เจอคนที่เรารู้สึกจริงๆ เราก็จะไม่เริ่มมันแล้วก็คงไม่มีแล้ว
คือผมพูดเป็นกลางๆ ว่าทุกในความสัมพันธ์ การเริ่มครั้งนี้มันเริ่มด้วยแพสชั่นของความรักที่เรารักเขา ที่เราชอบในตัวเขา ที่เรารู้สึกตื่นเต้นในตัวเขาอยู่เสมอ เราก็เลยเริ่ม แต่ถ้าพูดตามความเป็นจริงคือเราไม่รู้จริงๆ ครับว่าเราจะรักกันไปได้ยาวแค่ไหน
หรือเราจะเป็นยังไง เราไม่รู้เราแค่อยู่กันทุกๆ วัน เพราะฉะนั้นผมเรียกมันว่า Last chance คือโอกาสสุดท้ายแล้วสำหรับการที่จะใช้ชีวิตในฐานะของการมีความรัก ก็ทำให้เต็มที่เลย ลุยเต็มที่ อะไรที่ทำได้ทำให้หมด แล้วถ้าเกิดว่ามันประสบความสำเร็จมันก็ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ประสบความสำเร็จเราก็เข้าใจแค่นั้นเอง”
อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกับอาหลี? “ใช่ครับ ผมรู้สึกว่าเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหรือใช้ชีวิตที่แชร์กันอยู่แล้ว มันโอเค มันลงตัว”
ขอแต่งงานไปแล้วคลั่งรักกว่าเดิมไหม? “ก็เหมือนเดิมครับ (หัวเราะ) จริงๆ ผมไม่ได้คลั่งรักนะ ผมแค่รู้สึกภูมิใจในตัวเขา รู้สึกภูมิใจในความรักของเรา ก็เลยพูดเพราะผมพูดตลอดอยู่แล้วถ้ามีผมก็ชัดเจนของผมอยู่แล้ว”
มีแพลนไหมจะจัดเมื่อไหร่ อะไรยังไง? “จุดเริ่มต้นเลย เราคุยกันไว้ประมาณ 3 ปีครับ เพื่อให้น้องได้ทำงานให้น้องได้เติบโตในสายงานของเขา ให้เขาได้ใช้ชีวิตไปก่อน ผมเองก็พร้อมแต่งงานแล้ว
แต่ว่าเราพร้อมคนเดียวไม่ได้ต้องให้เขาพร้อมด้วย ให้เขาได้เติบโตด้วย น้องกับผมห่างกัน 4 ปี ผมว่า 4 ปีมันก็มีอะไรหลายอย่างที่เขาต้องเจอในชีวิตปล่อยให้เขาใช้ชีวิตด้วยเหมือนกัน”
เป็นการตีตราจองไว้ก่อน? “เรียกว่าทำให้เขามั่นใจดีกว่า ทำให้เขารับรู้ว่าเรารักเขา เราจริงใจต่อเขามากๆ แต่ตีตราจองไหม ผมคงใช้คำว่าเราถือครองความรักร่วมกันดีกว่า คงไม่มีใครจองใครแต่เราซื่อสัตย์ เราเอาใจมาแลกกันครับผม”
ขอบคุณรูปจากไอจี : y.n.p.k