ซ้อมเตรียมตัวเสียชีวิตอย่างสงบ พ่อแม่ทำอย่างเต็มที่วินาทีสุดท้ายของลูก สะเทือนใจ น้องน้ำแข็ง8ขวบ ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ถ้อยคำสุดท้ายบีบหัวใจ สิ่งที่น้องได้ทำก่อนตายจริง
จากกรณี น้องน้ำแข็ง เด็กหญิง 8 ขวบ ป่วยด้วยมะเร็งกระดูกตอนอายุ 6 ขวบ เคยรักษาหายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่มะเร็งลามกลับมาป่วยอีกครั้งอาการทรุด โดยพ่อแม่เผยเรื่องราวผ่านโซเชียลสอนให้ลูกรับมือกับมะเร็งและวันที่ต้องจากกัน
โดยก่อนหน้าน้องเสียชีวิต เผยคลิปน้องน้ำแข็งถือพวงมาลัย บอกว่าเหนื่อย และได้กล่าวขอบคุณเทวดาที่คอยดูแลให้อยู่มาถึงตอนนี้ ให้เทวดานำทางไปนิพพาน ให้ช่อดอกไม้ในมือนำทางไปสู่สวรรค์ สร้างความสะเทือนใจกับคนที่เห็นคลิปดังกล่าว
ล่าสุด น้องน้ำแข็งได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.65 เฟซบุ๊ก พิมพ์ธิฌาย์ ฤทธาธนาเศรษฐา เผยภาพงานศพน้องพร้อมข้อความหลังน้องเสียชีวิตด้วยว่า
ลงรูปย้อนหลังวันรดน้ำศพ น้องไปแบบสดใส หน้าตายิ้มแย้ม (อมยิ้มโชว์ฟัน 2 ซี่ด้วย ป๊าเพิ่งแปรงฟันให้โชว์ได้ค่ะ) เป็นการจากไปที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้
สิ่งที่ทางครอบครัวและตัวน้องได้ทำก่อนน้องตายจริง คือการซ้อมเตรียมตัวตายค่ะ ซ้อมบ่อย ก่อนวันตายจริง 1 วัน ลิ้นยังไม่แข็ง ลิ้นยังพูดปกติ(แต่การหายใจของน้องก็เหนื่อยขึ้นมากแล้ว) แม่น้องบอกว่า “น้ำแข็งดูร่างกายนี้นะ เห็นไหม เราสั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้ สั่งให้มันหายดีก็ไม่ได้ สั่งให้มันห้ามเจ็บห้ามปวดก็ไม่ได้ ร่างกายนี้เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราว ถึงคราวที่ร่างกายนี้มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ทิ้งมันไปนะลูก ทิ้งมันไป มันเป็นตัวสร้างทุกข์ ไม่ต้องไปรั้งมันไว้ ตั้งจิตตั้งใจให้ตัวหนูมีอิสระจากร่างกายที่สร้างทุกข์เสียที ”
น้ำแข็ง แซวแม่กลับว่า ม้าซ้อมตายแล้วถ้าเกิดไม่ตายอะ ไม่ซ้อมฟรีเหรอ ??
ม้าตอบ ไม่ตายไม่เป็นไร แต่ถ้าตายเราซ้อมตายเผื่อไว้แล้ว จะได้ไม่ขาดทุน (น้ำแข็งก็โอเค เข้าใจแต่โดยดี) ที่สำคัญหากร่างกายทรุดลงไปเรื่อยๆ มาซ้อมตายตอนนั้น ม้ากลัวหนูจะเริ่มฟังไม่รู้เรื่อง รีบซ้อมตายตอนที่ยังมีเรี่ยวแรง มีสติที่มากพอก่อนนะคะ เพราะจิตสุดท้ายสำคัญ ยามหนูจะต้องจากไปม้าอยากให้หนูไม่ติดอะไร ไปแบบจิตของผู้ที่เห็นธรรมะ เห็นความไม่ใช่ของเรา เห็นว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ ตั้งอยู่ชั่วคราว อย่าไปโศกเศร้ากับสิ่งที่ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้ ก่อนหน้าแม่ลูกเคยคุยว่าสมมุติถ้าหนูต้องตายหนูจะเสียใจอะไรบ้างไหม
(แม่ของน้องมองว่าจำเป็นต้องคุยเพราะเห็นความสำคัญว่าคนเราก่อนจะไป จิตใจต้องหมดห่วงก่อน)
น้องตอบ อย่างที่ 1 หนูมีความฝันอยากเป็นนักวาดรูปมืออาชีพ หนูยังไม่ได้ทำเลยเลยยังไม่อยากตาย (ม้าตอบ เรื่องนี้จะอยู่หรือจะตายถ้าชอบวาดรูปอยู่ที่ไหนก็วาดได้ สำคัญที่หนูต้องไปดี ไปด้วยจิตดีอย่ามีห่วง จบประเด็นเรื่องวาดรูปแบบเข้าใจดี )
เรื่องที่ 2 หนูไม่อยากตายหนูอยากอยู่กับป๊าม้า หนูมีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้าง และถ้าหนูไม่อยู่ตายไปม้าจะเสียใจมากไหม? หนูไม่อยากให้ม้าเสียใจ และหนูอยากตอบแทนบุญคุณม้าที่ค่อยเหนื่อยดูแลหนูมาตลอด ยามม้าแก่หนูอยากเป็นคนดูแลม้า (ม้าตอบ หนูไม่ต้องห่วงหากหนูไปดี ไปด้วยจิตที่ปล่อยวาง หากหนูจะมาหาม้าเมื่อไหร่ก็ได้ หนูไม่ต้องกังวล ม้ารู้หนูเก่ง ม้าจะเข้มแข็งม้าจะเก็บความคิดถึงหนูเป็นแรงผลักดันให้ตัวม้าขยันเจริญสติ เพื่อพัฒนาจิตใจตัวเอง ให้มีดวงตาเห็นธรรมยิ่งๆขึ้นไป และให้อานิสงฆ์นี้ถึงแก่ตัวหนู และม้าจะทำทุกวัน ม้าก็จะทำตัวม้าให้ดีพอที่วันหนึ่งเราจะได้ไปพบกัน ส่วนยามม้าแก่ หนูไม่ต้องห่วงค่ะ ม้าเก่งม้าดูแลตัวเองได้ ม้าก็มีญาติพี่น้อง ม้ามีเงินเก็บ ม้าเอาตัวรอดได้ หนูสบายใจได้เลยนะลูก ม้าหวังแค่หนูได้ไปอยู่ดีมีสุข……
แล้วหนูยังมีเรื่องอะไรอีกไหมที่ทำให้หนูไม่อยากตาย หากถึงเวลาต้องตาย ? น้องตอบไม่มีแล้วค่ะ
จำคำม้าไว้นะ ม้าดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วงม้าค่ะ และวันนี้ม้าก็ทำได้จริงๆ ไม่ได้โกหกหนู เพราะหนูไปสบายแล้ว หนูไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเจ็บแล้ว
ม้าควรต้องยินดีๆๆ เพราะความสุขของหนู คือความสุขของม้าค่ะ
รักหนูน้ำแข็งเหมือนเดิม
แม้ม้าจะไม่เห็นหนู แต่ม้ากลับรู้สึกว่าหนูยังอยู่ข้างๆม้า ปกติม้าจะป้อนข้าวหนู ทำอาหารให้หนูทุกวัน ในการดูแลหนู วันนี้ม้าก็ยังดูแลหนูเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนจากการทำกับข้าวป้อนข้าว มาเป็นการนั่งสมาธิให้หนูแทน และม้าจะดูแลหนูแบบนี้ทุกวันจนม้าตายค่ะ เพื่อหวังว่าอานิสงส์แห่งการเจริญสติ เพื่อให้เห็นอริยสัจ 4 จะส่งผลโอบอุ้มดวงจิตของหนูในทุกๆวัน
**หน้าที่ๆทำต่อมาคือ ค่อยดึงพ่อน้องน้ำแข็งให้ไม่โศกเศร้า ต้องปรับความคิด พร้อมบอกลูกไปดี เราควรยินดี เรามีโอกาสทำหน้าที่พ่อแม่อย่างเต็มที่วินาทีสุดท้ายของลูก การที่เราเศร้าเพราะคิดถึงลูก อันนี้เป็นเพราะความอยากของเรา คือเราอยากให้ลูกอยู่ อันนั้นเป็นปัญหาของตัวเรา ไม่ใช่ปัญหาของลูก เพราะลูกไปสบายแล้ว หากลูกมองมาเราเอาแต่โศกเศร้าแล้วพลังจิตที่โศกเศร้าของเราจะไม่ส่งถึงลูกเหรอ
ดังนั้นรีบดึงสติให้ไว ว่าความโศกเศร้าก็เป็นของที่พร้อมจะมากระแทกเราอย่างหนักหน่วงในช่วงแรก เราไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่กับความเศร้า มันมีแต่โทษ ไม่มีประโยชน์ ให้เศร้า 3 ปีเลยก็คืนคนตายกลับมาไม่ได้ แต่ควรรีบเจริญสติเห็นความเศร้าเป็นของชั่วคราว เกิดดับได้ เปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นการพัฒนาจิตใจของเราแล้วให้อานิสงส์ถึงแก่ตัวลูก ถึงเรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่พยายามทำแต่สิ่งที่ดีๆให้ลูก
ขอจบการสนทนาค่ะ