นักร้องลูกทุ่ง กาญจนา มาศิริ ควงสามีเคลียร์ข่าวเม้าธ์ทิ้งวงการไปมีครอบครัว เผยปมปัญหา น้อยใจพ่อ ห่วงลูกเกินไป ไม่ชอบหน้าลูกเขย-แฟนคลับ
นักร้องลูกทุ่งสาวเสียงหวาน กาญจนา มาศิริ ควงสามีหนุ่มหน้าตาดี ต้อม วังมะนาว ออกสื่อครั้งแรก พร้อมเคลียร์ข่าวเม้าธ์ลาวงการไปมีครอบครัว อีกทั้งยังเล่าปมปัญหาครอบครัวที่ตัวเองนั้นน้อยใจคุณพ่อ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
ตอนเด็กลำบากมาก? กาญจนา : “ลำบากมากเลยที่บ้านยากจนมาก คุณพ่อคุณแม่ทำนา เราเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนถึงขนาดประตูหน้าต่างไม่มี ประตูห้องน้ำไม่มี แล้วเวลาฝนตกเราต้องหากะละมังไปรองขนาดนั้นเลย”
ตอนนั้นผ่านมาได้ยังไง? กาญจนา : “พ่อกับแม่ทำนาแล้วทำเห็ดฟางด้วย จนกระทั่งกาญอายุ 8 ขวบ มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่สอนเราที่โรงเรียน เขาอยากให้เราอ่านทำนองเสนาะก็ฝึกเราให้เป็น แล้วไปประกวดระดับจังหวัด แล้วมีอาจารย์ที่สอนดนตรี ทุกปีทางโรงเรียนจะมีงานโรงเรียนด้วย อาจารย์ท่านนั้นเห็นแววว่าเสียงไปได้เลยฝึกให้เราร้องเพลง พอเราร้องเพลงเป็นปุ๊บ เราก็ไปขอเขาร้องก่อนตามร้านอาหารในจังหวัดเพชรบุรี ก็ไป 2 คนกับคุณพ่อ ตอนนั้น 8 ขวบทำงานแล้ว เราสามารถมีเงินมาช่วยเหลือครอบครัวได้แล้ว”
เคยได้รางวัลสูงสุดเท่าไหร่? กาญจนา : “นอกจากเพชรบุรี เราก็ไปมหาชัย แล้วไปหัวหินด้วย มากสุดน่าจะได้ 5 พันกว่าบาทต่อคืน มันเยอะมาก เราได้ปุ๊บ เราใส่กระเป๋าให้คุณพ่อเลย คุณพ่อเป็นคนเก็บเงิน พอถึงเวลากลับบ้านก็มานั่งนับกัน มันเยอะที่สุดแล้ว”
ตระเวนประกวดกี่ปี? กาญจนา : “ไปเรื่อยๆ เลยถึงอายุ 15 ปี ก็ไปร้องเป็นวงอิเล็กโทนแล้วจะให้ 300 บาทต่อคืน พอเราเริ่มโตจาก 8 ขวบ เราไปร้องร้านอาหารซ้ำๆ มันก็จะเริ่มได้น้อย เราก็รับงานวง งานกินเลี้ยง งานขึ้นบ้านใหม่ไปหมดเลย แล้วเราก็ไปอาศัยรางวัลหน้าเวที คือบางทีอาจจะได้ทิปเป็นพันเลยก็ได้”
แล้วมาเป็นนักร้องอาชีพได้ยังไง? กาญจนา : “เริ่มตั้งแต่อายุ 15 ไปร้องงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่แล้ววันนั้นนายห้าง บริษัท โฟร์เอส ไปงานนั้นด้วย เขาได้ฟังเราร้อง เขาจะเรียกมาให้รางวัลที่โต๊ะ แต่ตอนนั้นคุณพ่อบอกว่าถ้าใครจะให้รางวัลต้องเดินไปให้หน้าเวที เพราะว่าเดี๋ยวไปเจอคนเมาอะไรประมาณนี้ พออีกวันนายห้างให้พี่ทีมงานไปหาเราที่บ้านเลย อยากให้เรามาทำเพลง ช่วงแรกเรากลัวเขาจะหลอกเราไหม จะได้อัดเทปจริงหรือเปล่า ก็ขอเวลาปรึกษากันน่าจะ 3-4 เดือน”
3-4 เดือน ไม่กลัวว่าโอกาสนั้นจะหลุดไปเหรอ? กาญจนา : “กลัวนะ เราเริ่มต้นจากการร้องเพลง เราได้ประกวดหลายๆ เวที แล้วความฝันอันสูงสุดของเราคืออยากเป็นนักร้อง อยากมีบ้านหลังโตให้พ่อแม่ มีรถ อยากให้ทุกคนสบาย”
อะไรทำให้เราตัดสินใจตกลง? กาญจนา : “พ่อบอกไปเถอะ เพราะว่ามันเป็นโอกาสของเรา ถ้าเรามีโอกาสนั้นอาจจะได้ทำตามฝันของกาญด้วย ก็เลยตกลงไปเซ็นสัญญาอยู่บริษัท โฟร์เอส”
ออกเพลงแรกดังเลยไหม? กาญจนา : “อัลบั้มชุดแรก ผู้ใหญ่บ้านหนุ่ม มีแฟนเพลงรู้จักเลย ถ้าไม่มีชุดนี้คงไม่มีใครรู้จักเราแล้วล่ะ”
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จะลาวงการไปมีครอบครัวเหรอ? กาญจนา : “ไม่ถึงขนาดลาวงการ แต่ด้วยช่วงอายุของกาญมันเยอะแล้ว เพราะเราทำงานมาตั้งแต่อายุ 15 แล้วตอนที่เราเงียบหายไป เราก็ไปทำร้านทำอะไรของเราหลายอย่าง เพราะทำอาชีพเสริมไปด้วย แล้วเราก็มีครอบครัวด้วย ตอนนั้นเราก้าวสู่อายุประมาณ 36 ถือว่าแก่แล้ว เราก็เลยตัดสินใจ ถามว่าเราได้ออกจากวงการไหม คือไม่ได้ออกนะ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ออกสื่อ แต่เรายังรับงานอยู่ตลอด”
เจอกันได้ยังไง? กาญจนา : “มันเป็นโค้งสุดท้ายแล้ว คว้าไว้ก่อน”
ต้อม : “เรารู้จักเขาในฐานะศิลปิน เราก็เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ซึ่งมีความฝันว่าอยากเป็นศิลปิน ดารา ประมาณสัก 7-8 ขวบ เราก็ติดตามข่าวบันเทิง เหมือนเราจะรู้จักว่าคนนี้เป็นนักร้องลูกทุ่ง คนนี้เป็นดาราอะไรอย่างนี้ เราคุ้นๆ เขาตั้งแต่เขาเข้าวงการ วันหนึ่งเรามีโอกาสมาอยู่เพชรบุรี เราจำได้ว่านักร้องคนนี้เป็นคนเพชรบุรี ถ้าเจอจะขอถ่ายรูปสักหน่อย”
แล้วได้เบอร์โทรศัพท์ได้ยังไง? ต้อม : “มันบังเอิญที่จังหวัดมีการจัดงานที่เกี่ยวกับดนตรี ไม่ว่าจะเป็นนักร้องปกติจนถึงศิลปินของเพชรบุรี เราจะมีงานสังสรรค์ปาร์ตี้กัน เราก็ไม่คิดว่าคนนี้มาด้วยเหรอ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร”
มีศิลปินเยอะ ทำไมคุณถึงจ้องคุณกาญ? ต้อม : “ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าจ้องหรืออะไรยังไง เราก็รู้ว่าคนนี้เป็นนักร้องเพชรบุรี เป็นแฟนคลับ คือในงานวันนั้นยังไม่ได้เบอร์เขานะ วันงานเหมือนเราไปขอถ่ายรูปเฉยๆ แล้วมันมีวันอื่นเราก็ทำงานในวงการคล้ายๆ กัน ผมก็เล่นดนตรีอยู่ในร้าน แล้วเขาก็บังเอิญมานั่งที่ร้าน เราก็ทักทายเขาปกติ คิดในใจถ้าอยากรู้จักเขา ทักทายเขา เราจะทำยังไง เดินสวนทางกันเราก็ทักทายแล้วยืนคุยกันสักพักก็เลยขอเบอร์ แต่ในใจคิดว่าเราจะอ้างว่าไง”
ในใจคิดว่าจะจีบไหม? ต้อม : “ไม่ถึงขนาดจีบ พูดตรงๆ ตอนนั้นเราก็มีแฟนอยู่ แต่ทำยังไงเพื่อได้ขอเบอร์เขาไว้ก่อน ผมก็อ้างว่างั้นขอเบอร์ไว้ก่อน เผื่อมีการติดต่องาน แล้วเขาก็ให้เลยครับ”
วันที่ไปร้านอาหารที่เขาเล่น ตั้งใจไปดูไหม? กาญจนา : “ตั้งใจ เขาน่ารักดีในความคิดเรา ตอนเขาขอเบอร์ใจเราเต้นแรงเลยแหละ แต่ก็ให้ไปเลย”
หล่อแบบนี้ เป็นศิลปินด้วย สาวต้องเยอะ คุณต้อมสมัยก่อนเป็นหนึ่งในคาสโนว่าของเพชรบุรีเลยไหม? ต้อม : “ถือว่าคาสโนว่าเลย เพราะว่าตั้งแต่อายุ 21 เล่นผับ เล่นเทค ในช่วงนั้นย้อนกลับไปเกือบ 20 ปี เทคสมัยนั้นมันยังเปิดเช้า คือเทคจะไม่เหมือนร้านอาหารสมัยนี้ สมัยนั้นคือคนเยอะมาก ผู้หญิงที่เข้ามาดูดีทุกอย่าง เราเจอเยอะ ณ ตอนนั้นเราก็ไม่ใช่คนหน้าตาดี เราคิดว่าเราสนุกๆ กับการร้องเพลง แต่ว่าเหมือนเราจะมีผู้หญิงเข้ามาชอบค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง กะเทย ผู้หญิงรุ่นใหญ่ รวมถึงนักศึกษา”
ตอนนั้นเจ้าชู้ขนาดไหน? ต้อม : “ลักษณะเหมือนประมาณว่า 20 กว่าๆ คือทุกคืนเปลี่ยน หมายถึงว่ายุคที่เราเล่นที่นั่น มันก็ไม่เชิงทุกคืนเปลี่ยนไป แต่ในช่วงนั้นคือสลับ”
พอเริ่มคุยกัน ในใจมีคิดไหมว่าเจ้าชู้ขนาดนี้ฉันเจ็บแน่ๆ? กาญจนา : “ถามว่ากลัวเจ็บไหม ไม่กลัวนะ รู้สึกว่าทุกคนเคยมีอดีต แต่ถ้ามีเราเมื่อไหร่ต้องหยุด เราคิดว่าคนเจ้าชู้ ต่อให้เจ้าชู้แค่ไหน ถึงจุดจุดหนึ่งเขาต้องหยุดได้ เราก็บอกเขา”
เห็นร้องเพลงหวาน แต่เป็นคนดุมาก? กาญจนา : “ก็ประมาณนึง ปกติกาญจะไม่ค่อยโกรธใครง่ายๆ”
ต้อม : “ทุกคนจะต้องบอกตัวเองว่าไม่ดุ คือเรามองว่าผู้หญิงที่ร้องเพลงหวาน หน้าหวานเขาจะต้องเป็นคนเรียบร้อย ลุกส์ต่อสื่อก็ประมาณนั้น แต่จริงๆ เขาก็เป็นคนอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นคนร้ายขึ้นมาหรือโกรธอะไรขึ้นมาใครก็เอาเขาไม่อยู่ พูดง่ายๆ ถ้าร้อนไปร้อนเนี่ย ไม่ได้เลย แต่บังเอิญเราเป็นคนค่อนข้างเย็น ต่อให้ไปพูดกับเขาเบาๆ นิ่งๆ เขาก็ไม่ลง เราต้องเฟดตัวเองออกไป เพื่อให้เขาอยู่กับตัวเอง”
ที่หยุดเพราะรัก หรือหยุดเพราะดุ? ต้อม : “ผมว่าผมอิ่มตัวมั้ง เพราะว่าเราเคยอยู่ในวงการแบบนั้น เราเจอผู้หญิงเยอะ เรามองว่าสุดท้ายแล้วมันก็เหมือนๆ กัน พอช่วงอายุหนึ่งที่เรามีครอบครัว เราคิดว่ามันน่าจะพอแล้ว ผมก็เลยมองว่าเราหยุดตรงนี้ดีกว่า แต่ถามว่าความกะล่อนที่มันติดตัวเรามา เสือยังไงมันก็ยังมีเล็บ”
คุณต้อมเองเคยผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว คุญกาญไม่ถือ? กาญจนา : “ไม่ค่ะ เราก็เคยมีแฟน แต่ ณ ช่วงนั้นเรายังไปด้วยกันไม่ได้ แต่ถึงเวลานี้เราตัดสินใจเลือกเขาแล้ว อดีตมันเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ถ้าเราอยู่ด้วยกันแล้ว เขาต้องเข้าใจในความเป็นเรา ถ้าเจ้าชู้เมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้โลกโซเชี่ยลมันไปไวอยู่แล้ว ถ้าเขามีเราต้องเห็น ไม่เช็กโทรศัพท์เลยนะ ด้วยความที่เราต้องไว้ใจกัน ไม่งั้นเราจะหาความสุขไม่ได้ ปล่อยเลย”
แล้วทำไมถึงเลือกคุณต้อม? กาญจนา : “คงเป็นเวรเป็นกรรมมั้ง ไม่ใช่ เขาอาจจะลิขิตมาแล้ว เพราะว่าเราจะมีเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะเสี่ย คนรวยๆ เพียบเลย แต่เราไม่เลือก เราเลือกที่เขาสามารถอยู่กับเราได้ ด้วยความที่เป็นพ่อแม่ลูกเป็นครอบครัว เพราะเราอยู่กับครอบครัวมานานแล้ว เรารักครอบครัวของเรามาก แล้วถ้าวันหนึ่งเราจะมีครอบครัว เขาก็ต้องอยู่กับเราได้ ไม่ใช่รวย แต่มีหลายคน เราไม่รับ”
ตอนแรกๆ คุณพ่อเราไม่ชอบคุณต้อม? กาญจนา : “คือพ่อไม่ค่อยชอบอยู่แล้ว ใครมาเป็นแฟนอะไรแบบนี้ เหมือนพ่อจะรักเรามากจนเราคิดว่าพ่อเขาห่วงเรา ด้วยความที่เราเป็นศิลปินด้วยมั้ง เวลาจะมีใคร หรือใครจะมาเข้าใกล้ คือพ่อเขาห่วงเรา ห่วงจนแบบห่วงมากเกินไป”
แล้วผ่านด่านแล้วหรือยัง? กาญจนา : “ถามว่าผ่านไหม ณ วันนี้ยังนะคะ น่าจะยังไม่โอเค แต่เราขอว่าเราจะมีเพราะว่าอายุเราเยอะแล้ว ถ้าเยอะกว่านี้เราอาจจะมีลูกไม่ได้ เพราะว่าเราอยากมีลูก อยากมีครอบครัว อนาคตเราแก่จะได้มีคนดูแลเรา”
คุณกาญแต่งมากี่ปีแล้ว? กาญจนา : “แต่งตั้งแต่ 36 ปีนี้ 40 ก็ 4 ปี คบกันก่อนหน้านั้นประมาณ 2-3 ปีได้ ตั้งแต่ปี 57”
แล้วฝ่าฟันเรื่องนี้มายังไง? กาญจนา : “ต้องสู้ไปด้วยกัน สำหรับคนที่มาอยู่กับกาญจะต้องแข็งแรงนิดนึง รักเราอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเข้าใจเรา ครอบครัวเราเป็นยังไง”
ถ้าพ่อเราไม่ชอบใครมีถุยน้ำลายใส่ด้วยเหรอ? กาญจนา : “ก็มีบ้าง เป็นพี่แฟนคลับ แต่รักกันเหมือนพี่สาว เขาจะมาช่วยทำงานช่วยอะไรตลอดเวลา ซึ่งกาญก็ไม่แน่ใจทำไมพ่อถึงไม่ชอบ ทั้งๆ ที่เขามาช่วย คือเรายังหาคำตอบให้ตัวเองยังไม่ได้”
ต้อมรู้เรื่องราวนี้ไหม? ต้อม : “เขามาเล่าให้ฟังทีหลัง”
ต้อม : “ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตกาญ ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับ แฟน เพื่อนสนิทหรือไม่สนิท พี่ๆ ศิลปินเวลามางานที่บ้าน มาวันเกิด คือเขาเหมือนเป็นคนที่ถ้ามีงานที่บ้านปุ๊บ พ่อเขาจะพาแม่ออกจากบ้าน เราไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไร ที่ผ่านมาเขาจะแสดงพฤติกรรมนี้กับทุกคนที่เข้ามาในชีวิตกาญ มันก็อยู่ในความสงสัยของทุกคนว่าทำไม ถ้าเป็นพ่อแม่ทั่วไปลูกเป็นศิลปิน มีคนมาหาที่บ้าน ต้องต้อนรับ แต่นี่สวัสดียังไม่มองหน้าเลย”
กาญจนา : “นั่นแหละ บางครั้งก็คิดว่าพ่อเป็นห่วงเรามากเกินไป คิดว่าคนที่มาเข้าใกล้เราจะมาหลอกเรา โดยเฉพาะแฟนไม่ต้องพูดถึง”
แล้วตอนต้อมเข้ามาตอนแรกทำยังไง? ต้อม : “ตอนแรกก็งง ตอนที่จีบกันใหม่ๆ นะ ตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงาน ผมก็โดนแบบ…บางทีคำพูดเขาค่อนข้างรุนแรง เอาเป็นว่าทุกวันนี้ยังไม่เคยคุยกับเขาเลยนะ ไม่เคยนั่งคุยเป็นครอบครัวว่าเขาคือพ่อตา ด้วยบุคลิกของเขา เขาก็ไม่ได้อยากคุยกับใครสักเท่าไหร่ เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ”
คำที่รู้สึกว่าพ่อพูดแรง จำคำนั้นได้ไหม? ต้อม : “จำได้ แต่มันค่อนข้างออกอากาศไม่ได้ คือประมาณว่า ไอ้หน้า… แต่ไม่ได้มาพูดกับเรานะ แต่พูดให้เราได้ยิน เราก็ช็อก ไม่ได้ไปทำอะไรให้เลย มันทำให้เราย้อนกลับไปว่า เพื่อน แฟนคลับ พี่ๆ ทุกคนโดน แต่ก็ยังอยู่ในความสงสัยว่ามันเป็นเพราะอะไร ทุกคนก็ไม่ได้มีใครมาร้ายกับกาญเลย ไม่ได้มีใครมาทำร้ายด้วยซ้ำ”
ผ่านมา 8 ปี ณ ตอนนี้ยังอยากมีความสัมพันธ์ระหว่างลูกเขยกับพ่อตาไหม? ต้อม : “ผมไม่เคยคิดแค้นหรือว่าอะไรเลย คุยกับกาญว่าวันหนึ่งเขาต้องเปลี่ยนตัวเอง เขาต้องเข้าใจว่าอะไรเป็นยังไง เขาไม่ได้เป็นเฉพาะกับคนที่เป็นแฟน เขาเป็นกับทุกคน มันก็เลยทำให้เราย้อนว่ามันไม่ได้เกิดจากคนที่เข้ามาในชีวิตกาญ มันเป็นที่ตัวเขาหรือเปล่า ที่อคติกับทุกคนที่เข้ามา เราก็คุยกันว่าทำยังไงดี พยายามนิ่ง แต่ส่วนตัวผมเป็นคนไม่ยอมคนอยู่แล้ว ไม่ยอมให้ใครมาดูถูก แต่เรามาในฐานะเป็นคนนอกเข้ามาคบกับเขา เราทำได้แค่เราเงียบ เราจะไม่พูดอะไร แต่ในใจลึกๆ เราสงสัยว่าเขาเป็นอะไร ก็พยายามคิดเรียงลำดับว่ามันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะกาญ หรือเป็นเพราะเขาคิดไปเอง ทำไมเขาคิดกับทุกคนไม่ดีเลย”
คุณพ่อไม่ยอมรับ เราใช้ชีวิตคู่ยังไง? กาญจนา : “ถ้ากาญไม่ตัดสินใจว่าจะมีคู่ ก็ไม่ได้มี ต้องอยู่ไปคนเดียว”
คือแยกบ้านออกมาอยู่เอง? กาญจนา : “ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกัน แต่พอแต่งก็แยกบ้านอยู่”
ต้อม : “ตอนแรกก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว เขาพ่อแม่อยู่บ้านด้วยกัน แต่เพิ่งมาแยกช่วงปีหลัง ปีสุดท้ายที่เพิ่งมาแยกกัน”
เขาไม่คิดถึงหลานเหรอ? กาญจนา : “กาญก็ไม่แน่ใจ เราคิดว่าการแต่งงานมีครอบครัว แล้วถ้าเรามีหลานจะเปลี่ยนความคิดของคุณพ่อได้ จากที่เราเห็นเวลามีหลาน เขาหลงหลาน รักหลานกันมากเลย แต่ในตอนนี้กาญมีความรู้สึกว่าความคิดนั้นมันใช้กับเราไม่ได้ แต่อาจจะใช้กับคนอื่นได้”
แล้วเวลาเขาทะเลาะกับคุณกาญเองหนักไหม? กาญจนา : “เวลาทะเลาะมันก็มีถึงขั้นหนักก็มี แบบคุยกันไม่รู้เรื่อง เคยโดนคุณพ่อลงไม้ลงมือ ตอนนั้นเป็นศิลปินแล้ว น่าจะ 20 กว่า ตอนนั้นก็ร้องไห้เสียใจ ประมาณแบบพ่อไม่เข้าใจ แค่แอบน้อยใจ”
ตอนนั้นเจ็บตัว หรือเจ็บใจมากกว่ากัน? กาญจนา : “เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ แต่น้อยใจมากกว่า เหมือนเราเป็นคนทำเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่เด็ก ให้พ่อเก็บเงินมาตลอด จนเราอายุ 20 กว่าที่เราปลูกบ้านหลังใหม่ แล้วรับปริญญาด้วย หลังจากนั้นเหมือนเราขอเก็บเงินเองปุ๊บมันก็มีปัญหาเกิดขึ้น เหมือนพ่อไม่พอใจ เราไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่นะคะ เราให้พ่อตลอดเลย ให้พ่อให้แม่ประมาณนี้”
เคยเปิดใจคุยกับท่านไหม? กาญจนา : “เปิดหลายรอบแล้ว แต่เหมือนคุยกันไม่รู้เรื่อง เหมือนท่านจะเปิด แต่คุยไปท่านก็ปิดเหมือนเดิม”
ณ ตอนนี้ยังคิดที่จะเปิดใจคุยกับท่านไหม หรือว่าปลงแล้ว? กาญจนา : “คือมันคุยไม่รู้เรื่อง”
ต้อม : “ผมอยู่กับเขา ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ในใจเราคิดแล้วว่ามันไม่เหมือนกับลักษณะพ่อลูกเขาเป็นกัน คือเราไม่เข้าใจว่าลูกเป็นคนดีเลี้ยงครอบครัว ให้คุณทุกบาททุกสตางค์ขนาดนี้ คุณยังทำร้ายเขา สิ่งที่เขาได้รับ คือเหมือนเราเป็นพ่อคน มีลูก ยิ่งถ้าลูกดูแลเรา โห…ไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วแบบให้เราทุกอย่าง วันหนึ่งลูกมีปัญหาเราต้องโอบอ้อมแล้วก็อุ้มเขา หรือให้คำปรึกษา แต่นี่ไม่ได้เลย”
คุณกาญอยากจะบอกอะไรกับคนที่ไม่เข้าใจเราในเรื่องนี้บ้างไหม? กาญจนา : “คนอื่นเขาไม่ได้มาอยู่ในครอบครัวเรา เขาก็จะไม่รู้ว่าเรื่องราวระหว่างเรากับพ่อมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง กาญยังรักพ่อเหมือนเดิม เพราะว่ากาญเป็นคนที่รักครอบครัวมาก แต่ ณ วันนี้กาญมีครอบครัว กาญก็ยังรักพ่ออยู่ แต่ว่าเราเกิดความไม่เข้าใจกัน ไม่ใช่ว่าเรามีครอบครัวแล้ว เราไม่ดูแลพ่อ ไม่ดูแลแม่ ไม่ใช่ เราก็ยังดูแลเหมือนเดิม แล้วตอนนี้คุณแม่ก็ป่วยติดเตียงด้วย เราก็ดูแลตลอดเลย”
ตอนนี้ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับพ่อ? กาญจนา : “ไม่ได้ตัด เราตัดไม่ได้อยู่แล้ว เรามีหน้าที่ของเราดูแลพ่อแม่ มีครอบครัวก็ต้องดูแลครอบครัวของเราด้วย เพียงแต่ว่าความเข้าใจที่เราจะคุยกันมันยังจูนกันไม่เข้า คุยกันไม่รู้เรื่องแค่นั้นเอง”
กับคุณแม่ คุณกาญได้คุยไหม? กาญจนา : “คือคุณแม่ป่วยติดเตียง เขาจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง ตอนนี้กาญต้องดูแลแม่ เช้ามาก็พาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ป้อนข้าว เพราะแม่จะกินเองไม่ได้ เหมือนเรามีลูก 2 คน แต่คนนั้นเลี้ยงง่าย กินเสร็จก็นอน”
คุณแม่ป่วยมานานแค่ไหนแล้ว? กาญจนา : “ตั้งแต่ช่วงแต่งงาน คุณแม่ก็เริ่มป่วยเลย ปี 2560 เหมือนเขาเป็นเบาหวาน ความดัน ไขมัน พอฉีดยาไปเกินทำให้ขาไม่มีแรง โอกาสที่จะกลับมามันก็ยาก คือขาไม่มีแรงแล้ว”
ภาระค่าใช้จ่ายใครเป็นคนรับผิดชอบ? กาญจนา : “ก่อนหน้านี้กาญเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดอยู่แล้ว แต่มีช่วงโควิด มันทำให้เราไม่สามารถไปงานได้เลย รายได้เราเท่ากับศูนย์ ภาระเราเดือนหนึ่งก็เยอะ ต้องมีเป็นแสน แต่ค่าใช้จ่ายประมาณ 5 หมื่นต่อเดือน”
ตอนนี้เริ่มดีขึ้นยังหลังจากประเทศเปิดแล้ว? กาญจนา : “ยังเลย ยังไม่มีงานเข้ามา เหมือนเขายังกลัวโควิดกันอยู่ก็ต้องรอต่อไป”
เห็นว่ามีแฟนคลับตีกันหน้าเวทีด้วย? กาญจนา : “มีค่ะ คือเราร้องเพลงผู้ใหญ่บ้านหนุ่มนี่แหละ แล้วเขาคงจะเมาได้ที่ เขาเขวี้ยงขวดข้ามไปข้ามมา เราก็ยังยืนร้องอยู่เลย จนมีพี่เขาไปดึงเราลงจากเวที ถามว่ากลัวไหม ก็กลัว แต่ด้วยหน้าที่เราก็ต้องร้องต่อไป”
คลิปสัมภาษณ์ กาญจนา มาศิริ